“10 ปี มติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล สู่กฎหมายส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” เผยยังมีแต่ความว่างเปล่า

โพสเมื่อ : Sunday, January 19th, 2020 : 5.33 pm

รวมญาติชาติพันธ์ชาวเล ครั้งที่ 10 “10 ปี มติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล สู่กฎหมายส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” เผยยังมีแต่ความว่างเปล่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เขตอนุรักษ์ ทำให้วิถีชีวิตถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง

เมื่อวันนี้ ( 19 ม.ค.)  บริเวณหน้าชายหาดราไวย์ หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายพงศ์บุญย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน รวมญาติชาติพันธ์ชาวเล ครั้งที่ 10 “10 ปี มติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล สู่กฎหมายส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” โดยมีนายสุทา ประทีป ณ ถลาง ส.ส.ภูเก็ต, ผู้แทนกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ฯ, ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, มูลนิธิชุมชนไท, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, ศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  เทศบาลตำบลราไวย์, พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง กรรมการแก้ปัญหาฯ  ชาวเล, นางเตือนใจ ดีเทศน์  อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ,   ผู้แทนหน่วยราชการ  ตลอดจนพี่น้องชาวเลในพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา กระบี่ สตูล และระนอง จำนวนกว่า 500 คนเข้าร่วม

ภายในงาน มีกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การแสดงทางวัฒนธรรมของชาวเลกลุ่มต่าง ๆ ,เวทีเสวนา เรื่อง กฎหมายส่งแสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ : เพื่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม , นิทรรศการภาพถ่ายเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชุมชนชาวเลในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น

นางแสงโสม หาญทะเล ตัวแทน ชาวเลเกาะหบีแป๊ะ จ.สตูล กล่าวว่า การจัดงานรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ครั้งที่ 10  ในหัวข้อ “10 ปี มติคณะรัฐมนตรี ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล สู่ กฎหมายส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ”  ถือว่ามีความสำคัญต่ออนาคตของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง โดยเราเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยในพื้นที่ทะเลอันดามันมากว่า 300 ปี มี 3  เผ่า คือมอแกน  มอแกลน และอูรักราโว้ย  มีการประกอบอาชีพหากินแบบพอเพียงและพึ่งพิงธรรมชาติ แต่ปัจจุบันเมื่อมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  การพัฒนาการท่องเที่ยว การประกาศเขตอนุรักษ์ทั้งทางทะเลและในเขตป่า  ทำให้วิถีชีวิตของชาวเลถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง

และเมื่อวันที่  2  มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และ มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนไปปฏิบัติ  ทั้งการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย  การให้ชาวเลสามารถประกอบอาชีพประมงโดยผ่อนปรนพิเศษในการใช้อุปกรณ์ดั้งเดิม

การช่วยเหลือด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาสัญชาติ  การส่งเสริมด้านการศึกษาหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวเล   การแก้ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์  การส่งเสริมด้านภาษาวัฒนธรรม  การส่งเสริมชุมชนและเครือข่ายชาวเลให้เข้มแข็ง  รวมทั้งให้มีงบประมาณส่งเสริมวันนัดพบวัฒนธรรมชาวเล แต่ผ่านมา 10 ปี ปัญหาของชาวเลยังไม่ได้รับการแก้ไขแถมยังมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น เสียงเรียกร้องหายไปกับสายลม  พวกเรายังถูกทิ้งไว้ข้างหลังและถูกละเมิดสิทธิมาอย่างต่อเนื่อง

นางแสงโสม  กล่าวต่อไปว่า ชาวเลมีจำนวนประมาณ 12,000  คน  รวม 44  ชุมชน  กระจายใน 5 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และสตูล  มีปัญหาของชาวเล โดยภาพรวม ได้แก่ ความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย  มี  25 ชุมชน ที่ไม่มีเอกสารสิทธิเป็นของตนเอง ทั้ง ๆ ที่อาศัยมายาวนาน กลายเป็นที่ดินรัฐหลายประเภททั้งป่าชายเลน  กรมเจ้าท่า ป่าไม้ เขตอุทยานฯ  กรมธนารักษ์ และอื่น ๆ  เช่น ชุมชนชาวเลสะปำ ภูเก็ต, ชุมชนชาวเลเกาะสุรินทร์ พังงา, ชุมชนชาวเลเกาะเกาะพีพี กระบี่ เป็นต้น, สุสานและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมถูกรุกราน  จากการสำรวจพบว่ากำลังมีปัญหาถึง 15 แห่ง มีทั้งการออกเอกสารมิชอบทับที่ ถูกรุกล้ำแนวเขต  ถูกห้ามฝังศพ  เช่น พื้นที่บาราย ของชาวเลราไวย์ ภูเก็ต, สุสานเกาะหลีเป๊ะ สตูล  เป็นต้น

ปัญหาการถูกฟ้องขับไล่โดยธุรกิจเอกชนออกเอกสารมิชอบทับชุมชน โดยเฉพาะ ชุมชนชาวเลราไวย์  ชุมชนชาวเลบ้านเกาะสิเหร่ ภูเก็ต และ ชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ  สตูล  ถูกดำเนินคดี  29 คดี  มีชาวเลเดือดร้อนมากกว่า 3,500 คน, ปัญหาที่ทำกินในทะเล จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ระบุว่า เดิมชาวเลหากินตามเกาะแก่งต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า  27 แหล่ง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง  2 แหล่ง มีชาวเลถูกเจ้าหน้าที่อุทยาน ฯ จับกุมพร้อมยึดเรือเพิ่มขึ้น , พื้นที่หน้าชายหาดซึ่งทุกคนควรใช้ร่วมกัน ผู้หญิงชาวเลใช้ หาหอย หาปู  วางเครื่องมือประมง และที่จอดเรือก็กลายเป็นสิทธิของโรงแรมและนักท่องเที่ยว เช่น หน้าหาดราไวย์ ทางธุรกิจเอกชนพยายามปิดทางเข้าออกหาด, ที่จอดเรือของเกาะหลีเป๊ะ และเกาะพีพี ถูกบีบบังคับ กดดันไม่ให้จอดเรือ, ปัญหาเรื่องการศึกษาภาษาและวัฒนธรรม กลุ่มชาวเลส่วนใหญ่  ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ขาดความภาคภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรม ทำให้กำลังจะสูญหาย , ปัญหาเรื่องสุขภาวะ  ด้วยปัญหารอบด้านทำให้เกิดความเครียด บางส่วนติดเหล้า และชาวเลมีปัญหาเรื่องสุขภาพต่างๆตามมา  และปัญหาการไร้สัญชาติ ยังมีชาวเลกว่า 400 คนที่ไม่มีสัญชาติไทย โดยเฉพาะ ชาวเลมอแกนเกาะสุรินทร์ พังงา เกาะเหลา เกาะช้าง เกาะพยาม  จ.ระนอง”

นางแสงโสม กล่าวด้วยว่า ปัญหาชาวเล เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานานและเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวงทำให้ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมาไม่อาจจะแก้ปัญหาได้โดยใช้มติคณะรัฐมนตรี 2 มิ.ย. 53 เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ สามารถคุ้มครองเขตพื้นที่วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์และเอื้อต่อการแก้ปัญหาที่สั่งสมมานาน ทั้งนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลังตามนโยบายรัฐบาล

ขณะที่ นายพงศ์บุญย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าที่ผ่านมารัฐบาลพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวเลมาโดยตลอด จะเห็นว่าในปี 53 มีมติครม. เห็นชอบในแนวทางการฟื้นฟูอนุรักษ์กลุ่มชิติพันธุ์ชาวเล และในปี 61 ยุทธศาสตร์ 20 ปี ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มชาวเลในด้านสังคมซึ่งได้มีการพูดถึงการสร้างโอกาสความเสมอภาคด้านสังคม และในแผนปฏิรูปปี 61 ได้มีการพูดถึงร่าง พรบ.จะต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปี 64 ,65

ขณะที่ในส่วนของท่านนายกรัฐมนตรี เองก็ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาดูแลปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และล่าสุดเมื่อต้นเดือน ม.ค. ก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งดนุกรรมการเข้ามาอูแลปัญหาพี่น้องชาวเลโดยเฉพาะ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์ฯ เป็นประธาน ซึ่งในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบดีว่าพี่น้องชาวเล ที่มีกว่า 12,000 คน ในพื้นที่ 5 จังหวัดอันดามันมีปัญหาสำคัญมากมายโดยเฉพาะปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยเนื่องจากไม่มีที่ดิน รวมทั้งปัญหาขัดแย้งกับภาคเอกชนมีการถูกฟ้องร้องขับไล่รวมทั้งพื้นที่สุสาน และ อื่น ๆ รวมทั้งข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ทำกินทางทะเลจากการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ของทางภาครัฐ

นายพงศ์บุญย์ กล่าวต่อว่า ทราบดีว่าชาวเลมีวิถีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย อยู่อย่างพอเพียงพึงพิงธรรมชาติ แต่ปัจจุบันประเทศมีการพัฒนาไปมากในทุกๆด้าน โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวในฝั่งอันดามัน ดังนั้นพี่น้องชาวเลเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับการพัฒนาดังกล่าว ในขณะเดียวกันทางภาครัฐก็จะต้องให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเลให้เดินหน้าควบคู่กันไปด้วย โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับความสุขการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน การช่วยเหลือสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องชาวเลมีความเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถอยู่ได้ภายใต้คุณภาพที่ดีและภาคใต้ความสมบูรณ์ของคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ทางกระทรวงทรัพย์จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น