ไทย – เมียนมาร์ เชื่อมท่องเที่ยวทางน้ำ มะริด – ระนอง-ภูเก็ต

โพสเมื่อ : Sunday, January 22nd, 2017 : 6.36 pm

ไทย – เมียนมาร์ ประชุมหารือ ส่งเสริมการท่องเที่ยว เน้นการท่องเที่ยวทางน้ำระหว่างมะริด-ระนอง – ภูเก็ต1485084295111.jpg

เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (22 ม.ค.) ที่ห้องประชุมโรงแรม เดอะนาคา ภูเก็ต ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้การต้อนรับ  นาย อู อ่อง เหมื้อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวเมียนมาร์ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการและคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน ธุรกิจการค้า จากประเทศเมียนมาร์และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (พังงา,ระนอง,กระบี่,ตรังและภูเก็ต) เข้าร่วม โดยในครั้งนี้ทั้ง 2 ประเทศ ได้ร่วมประชุมหารือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและโอกาสในการลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ระหว่างไทยและเมียนมาร์

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมภาคเอกชนไทย เดินทางไปยังกรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 11 – 12 มกราคม ที่ผ่านมา เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมาร์ ด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน โดยวาระสำคัญคือ การเซ็น MOU ร่วมกัน จุดประสงค์ของการลงนาม MOU เพื่อร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ร่วมกันพัฒนาทรัพยากร ผลักดัน maritime tourism หรือการท่องเที่ยวทางน้ำ และต่อยอดนโยบาย Asean Connect ไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการร่วมการพัฒนาการท่องเที่ยวทางทะเลทางชายฝั่งอันดามันระหว่าง เมียนมา กับไทย ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดภูเก็ต,พังงา,กระบี่และตรัง เพื่อจะได้ต่อยอดธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องเช่นธุรกิจ เรือสำราญเรือยอร์ชและเรือท่องเที่ยวอันจะเป็นการสร้างรายได้ให้อย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับทั้งสองประเทศ1485084299641.jpeg

นายพงษ์ภาณุ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หลังลงนาม MOU ไทยและเมียนมาร์เร่งจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อลงมือทำตามข้อตกลงได้ทันทีที่ให้เกิดผลงานในปี 2560 ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยง CLMVT (เมียนมาร์ – ไทย-ลาว-กัมพูชา – เวียดนาม และ ASEAN) เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างกันอย่างยั่งยืน two Country one Destination ให้มากขึ้น การจัด FAM trip ดึงสื่อเอกชน เข้ามามีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน  การแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวระหว่างกัน ช่วยทางด้านเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน และการสร้าง digital tourism ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเองมากขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำและสนับสนุนภาคเอกชนไทยมาร่วมหารือเพื่อขอรับการส่งเสริมข้อมูลส่งเสริมการลงทุนทางภาคบริการในเมียนมาร์ ซึ่งเมียนมาร์ต้องการเน้นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล..มะริด- ระนอง – ภูเก็ต1485084304254.jpeg

ด้าน นาย อู อ่อง เหมื้อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวเมียนมา กล่าวว่า จากการที่ไทยและเมียนมาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเมื่อวันที่11-12 มกราคม 2560 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกการแลกเปลี่ยนการเดินทางระหว่างกันรวมทั้งเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ 3

ฝ่ายเมียนมาร์ เสนอความร่วมมือด้านพัฒนาการท่องเที่ยวกับไทยเรื่องการส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยวการพัฒนา package ด้านการท่องเที่ยวและการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งการท่องเที่ยวเชื่อมโยง โดยเมียนมาร์อยากให้ไทยพิจารณาการส่งเสริมให้มีการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงทั้งทางบกทางทะเลและทางอากาศโดยเฉพาะการเพิ่มเส้นทางการบินระหว่างประเทศในเส้นทางเกาะสอง-มะริด-กรุงเทพและเส้นทาง มะริด-ทวาย-กรุงเทพซึ่งสนามบินมะริดยังมีข้อจำกัดในการรองรับได้เพียงเครื่องบินขนาดกลางและขนาดเล็ก

ขณะที่ นายโชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า  จังหวัดภูเก็ตและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันของประเทศไทยมีศักยภาพในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทางทะเล เพราะมีความพร้อมในทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม โดยเฉพาะทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งปัจจุบันการท่องเที่ยวทางทะเลโดยเรือสำราญหรือเรือยอร์ชได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง และที่ภูเก็ตนี้ก็เป็นจุดที่มีเรือยอร์ชเข้ามาจำนวนมาก รัฐบาลจึงมีเป้าหมายที่จะพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวด้วยเรือยอร์ช เพื่อสร้างแรงเหนี่ยวนำธุรกิจต่อเนื่อง เช่นมารีน่า อู่ต่อเรือและซ่อมเรือ คลับเฮ้าส์ และโรงแรม โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีน่าของอาเซียน ดังนั้นหากมีการร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมาร์จะทำให้การท่องเที่ยวฝั่งอันดามันของทั้ง 2 ประเทศมีความเข้มแข็งและยั่งยืน

ขณะที่ นายโชคชัย กล่าวต่ออีกว่า โดยขณะนี้รัฐบาลไทยและเมียนมาร์อยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงเงื่อนไขข้อกฎหมายที่จำเป็นสำหรับกฎบัตรบังคับเรือสำราญ และการดำเนินธุรกิจเรือสำราญ รวมทั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่สามารถเอื้ออำนวยกับเรือสำราญ กฎของกรมศุลกากร สนับสนุนสถานที่ใหม่ๆ สำหรับการพัฒนาเป็นท่าจอดรถ ตลอดจนมองหาภาคเอกชนมาร่วมลงทุน แผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การนำเจ้าของเรือ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับเรือสำราญ อู่ต่อเรือและซ่อมเรือ ชิ้นส่วนและอะไหล่เรือ นักลงทุนธุรกิจ กีฬาทางน้ำ และผู้ดำเนินการเรือเพื่อการนันทนาการ เข้าร่วมดำเนินการไปด้วยกัน ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถช่วยพัฒนาและนำไปสู่อุตสาหกรรมที่กว้างขวาง ที่สร้างงานให้คนท้องถิ่น และเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจในประเทศโดยตรง โดยเฉพาะได้ส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวทางทะเลเพิ่มขึ้นและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในอนาคต 1485084310741.jpeg

“ทั้งนี้โอกาสการลงทุนในเมียนมาร์มีสูงผู้ประกอบการไทยจะมีความได้เปรียบในการลงทุนในเมียนนมาภายใต้นโยบาย asian connect ของอาเซียนและรัฐบาลไทยและเมียนมาร์จะส่งเสริมให้มีการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าสู่สองประเทศ ทั้งนี้เมียนมาร์ยังขาดระบบการบริหารจัดการโดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการบริหารจัดการในเมียนมาร์ได้เป็นอย่างดี” นายโชคชัยกล่าวและว่า

ของการเซ็น MOU และการประชุมในครั้งนี้ จะนำไปสู่การจัดตั้ง working group ที่มีภาคเอกชนของสองประเทศอยู่ในคณะทำงานด้วยและจะเริ่มดำเนินการทันที ซึ่งตัวแทนจากภาคเอกชนของไทย ยินดีให้ความร่วมมือและคำแนะนำต่อเมียนมาร์ โดยไทยมองว่าเมียนมาร์สามารถเติบโตได้อีกมาก หากได้รับการสนับสนุนด้วยการลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ขณะที่เมียนมาร์เปิดรับความร่วมมือจากไทยอย่างเป็นมิตร และยินดีเรียนรู้จากประเทศไทยต่อไป