ไดร์โวสูบน้ำสปีดโบ๊ทไฟสปาร์คกลางทะเล นทท.จีน 40 ชีวิตปลอดภัย

ระทึกอีก เกิดเหตุเครื่องไดร์โวสูบน้ำเรือสปีดโบ๊ท นิกรมารีนเกิดไฟสปาร์คกลางทะเลก่อนถึงเกาะราชา ขณะในเรือเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจีน 40 ชีวิต โชคดีดับเพลิงได้ทัน บาดเจ็บเล็กได้ 20 คน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (30 ส.ค.) เกิดเหตุเครื่องไดร์โวสูบน้ำภายในเรือสปีดโบ๊ท ของ บริษัท นิกรมารีน ไฟฟ้าประทุ หรือ ไฟสปาร์ค ทำให้เกิดประกายไฟออกมา เป็นเหตุให้ทำนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บประมาณ 20 ราย เหตุเกิดที่บริเวณกลางทะเลอันดามันก่อนถึงเกาะราชา ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ นายพิสิษฐ์ ปภากิจยศพัฒน์ เจ้าของ บริษัท นิกรมารีน กรุ๊ป เจ้าของเรือลำที่เกิดเหตุ กล่าวว่า เรือลำดังกล่าวเป็นเรือของบริษัทมี 3 เครื่องยนต์ ขณะเกิดเหตุได้บรรทุกนักท่องเที่ยวชาวจีน จำนวน 40 คน เดินทางไปท่องเที่ยวตามโปรแกรมวันเดย์ทริป ที่เกาะราชา อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยเรือลำดังกล่าวออกจากท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง เวลาประมาณ 10.00 น. มุ่งหน้าไปยังเกาะราชา เมื่อเรือใกล้ถึงเกาะราชาได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อเครื่องไดร์โวสูบน้ำภายในเรือเกิดไฟสปาร์คแล้วมีประกายไฟออกมา ส่งผลนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บประมาณ 20 ราย ที่บริเวณเท้าและขาในลักษณะปวดแสบปวดร้อนจากถูกความร้อนของไฟดังกล่าว จากนั้นพนักงานเรือได้ใช้ถังดับเพลิงฉีดไม่ให้ไฟลุกไหม้ ระหว่างนั้นทางกัปตันได้แจ้งมายังบริษัทเพื่อขอให้ส่งเรือสปีดโบ๊ทไปรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน โดยเรือที่เกิดเหตุได้จอดลอยลำอยู่กลางทะเลประมาณ 30 นาที ก่อนที่เรืออีกลำจะเข้าให้การช่วยเหลือ นำนักท่องเที่ยวทั้งหมด ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยที่ท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง และนำนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 20 คน มาทำการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลมิชชั่น

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 20 ราย โดยส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาและเท้า ซึ่งแพทย์อนุญาตให้กลับที่พักได้ 16 ราย และนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จำนวน 4 ราย ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนักท่องเที่ยวทางบริษัทรับผิดชอบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สำหรับสาเหตุของเกิดเหตุครั้งนี้ น่าจะมาจากเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ทางพนักงานเรือได้มีการเปลี่ยนเครื่องไดร์โวสูบน้ำใหม่แทนเครื่องเก่าที่เสีย ซึ่งจากการตรวจสอบเครื่องไดร์โวพบว่า แกนภายในเป็นรอยไหม้ทั้งลูก จากนั้นก็จะส่งเครื่องไดร์โวดังกล่าวไปให้บริษัทที่สั่งซื้อมาไปตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง