“เทพเทือก” ถล่มยับ ถามอภิสิทธิ์ แสดงจุดยืนไม่เอาประยุทธ แล้วอยู่ข้างใคร

โพสเมื่อ : Tuesday, March 12th, 2019 : 9.34 am

 “เทพเทือก” พร้อมผู้บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เปิดเวทีปราศรัยย่อยช่วงโค้งสุดท้ายขึ้น ย้ำอยู่คนละข้างทักษิณ ถามอภิสิทธิ์ แสดงดยืนไม่เอาประยุทธ เช่นนั้น แล้วเลือกอยู่ข้างใคร

ที่สนามฟุตบอล โรงแรมภูเก็ต รอยัล ซิตี้ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) เปิดเวทีปราศรัยย่อยช่วงโค้งสุดท้ายขึ้น ทั้งนี้มีแกนนำผู้ร่วมปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์นำโดย มรว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ,นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เลขาธิการพรรค ,รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร กรรมการพรรค ,นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค,นายสำราญ รอดเพชร ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคและ นส.เพชรชมพู กิจบูรณะ โฆษกพรรคฯ /ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่2

นอกจากนี้ยังมีผู้สมัครสส.ภูเก็ต พรรคพลังประชาชาติไทยทั้ง 2 เขต คือ นาย อรรคพล นนทรีย์ ผู้สมัคร เขต1 หมายเลข 7 และนาย ทรงยศ เหมหงษ์ ผู้สมัครเขต2 หมายเลข 9 ร่วมขอคะเเนนเสียง ซึ่งเนื้อหาในการปราศรัยส่วนใหญ่ ยังคงเป็นการเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้านต่างๆที่สังคมไทยต้องประสบ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม เเละอื่นๆ เช่นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยยังชีพคนพิการ

ทั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าว ย้ำบนเวทีว่า ตนเองและพรรครวมพลังประชาชาติไท ยจะไม่ยืนข้างเดียวกับฝ่ายของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นอันขาด ตลอดไป และจะยืนหยัดต่อสู้ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณนั้นยังคิดอยากกลับมามีอำนาจในประเทศไทยตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่เคยยอมรับความจริง ไม่ยอมรับผิด  ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจว่า ตนเอง เเละ พรรคฯ สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีนั่น ความจริง มรว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้พูดถึงมาก่อนหน้าบนเวทีอย่างชัดเจน  เเต่ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นข่าวใหญ่ สื่อเพิ่งมาให้ความสำคัญหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หน.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงจุดยืนว่า ไม่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตนเองจึงได้กล่าวบนเวทีปราศรัยที่ จ. พังงาเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา  ผมจึงต้องขึ้นเวทีอธิบาย ว่า จุดยืนของคุณอภิสิทธิ์ ต่างจากจุดยืนของเราพรรครวมพลังประชาชาติไทย 

วันนี้พ.ต.ท.ทักษิณ อยากกลับบ้าน และพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกวิถีทาง เริ่มจากวิธีการแตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่าถ้าสมัครทั่วประเทศในนามพรรคเพื่อไทยฯ จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนทราบดีว่าพรรคนี้ทำอะไรไว้บ้าง และจะไม่มีวันลืม  ทั้งนโยบายโกงรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้เสียหายไปกว่า 5 แสนล้านบาท ไม่มีทางที่จะลงคะแนนเสียงให้ จึงแตกพรรคเป็นหลายๆพรรค เปรียบเสมือนสินค้าโรงงานเดิม แต่เปลี่ยนกล่อง เปลี่ยนสี ถ้าประชาชนหลงไปซื้อสินค้าเหล่านั้น  กำไรก็จะเข้าเถ้าแก่ที่ชื่อทักษิณทั้งหมด นี่คือเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองของเขา  ไม่เคยมีใครในโลกที่ทำแบบพ.ต.ท.ทักษิณ

คืออยากจะกลับบ้าน ไม่อยากติดคุก  ไม่ต้องขึ้นศาล จึงให้บริวารเสนอกฏหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อล้างความผิดทั้งหมด และกลับมามีอำนาจ  และที่ตนเองอยากพูดถึงและไม่อยากให้ลืมคือวีรกรรมของมวลมหาประชนชนที่ร่วมต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บล้มตาย ถึงแม้จะผ่านมา 5 –  6 ปี แต่เชื่อว่าไม่มีใครลืม กลุ่มคนเหล่านั้นเองที่ได้ร่วมต่อสู้เรียกร้องรัฐบาลสมัยนั้นที่บริหารบ้านเมืองย่ำแย่ ไม่ฟังแม้กระทั้งเสียงของประชาชน กระทั่งพลเอกประยุทธ ออกมาปฏิวัติ จนประเทศเกิดความสงบ

และเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ ตนเองอยู่มา 37 ปี อยู่จนเหมือนบ้าน ทำงานเต็มที่ ทำทุกอย่าง เป็นทั้งผู้จัดการรัฐบาล กระทั่งทำให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้รู้สึกสลดใจ ที่นายอภิสิทธิ์ประกาศอยู่ข้างประชาธิปไตย สู้กับรัฐบาลเผด็จการพลเอกประยุทธ แสดงว่านายอภิสิทธิ์ พร้อมที่จะจับมือกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ  คำที่นายอภิสิทธิ์พูดว่า จะไม่สนับสนุนให้พลเอกประยุทธเป็นนายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจต่อไปนั้น เป็นคำเดียวกับที่ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณพูดเลย

จึงถามว่าที่พูดเช่นนี้แสดงว่าไม่เอาพลเอกประยุทธ แล้วจะเอากับใคร หรือจะไปกับพ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราไม่ยอม เราจึงออกมาพูด และที่บอกว่าพลเอกประยุทธ เผด็จการ ต้องต่อต้าน ซึ่งพูดความจริงไม่หมด ก่อนหน้าคือตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 2557 มาจนวันนี้ พลเอกประยุทธ เป็นเผด็จการ เพราะเข้ามายึดอำนาจ แต่ที่พลเอกประยุทธ เข้ามายึดอำนาจเพราะสาเหตุใด ไม่เพราะว่ากำลังจะเกิดสงครามกลางเมืองหรือ เราไปต่อต้านทรราชแต่ถูกฆ่าทุกวัน ถ้าพลเอกประยุทธ ไม่มาประเทศก็ไม่สงบ

ทั้งนี้ในเรื่องการสืบทอดอำนาจที่กล่าวถึงนั้น ในวันนี้พลเอกประยุทธเป็นหัวหน้าคสช.และเป็นนายกรัฐมนตรี การใช้อำนาจจึงสามารถออกคำสั่งทำได้ตามกฏหมาย แต่เมื่อหลังเลือกตั้ง หากพลเอกประยุทธได้รับเลือกและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การกระทำสิ่งใดก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐสภา  อำนาจขาดไปตั้งแต่หลังเลือกตั้ง จึงไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ

อย่างไรก็ตาม หากพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้ร่วมรัฐบาล จะขอบริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรทุกอย่างให้มีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะ ราคาของปาล์ม เเละยางพารา โดยตั้งไว้ว่า ปาล์มจะต้องมีราคากก.ละ 5 บาท เเละยางพารา กก.ละ 80 บาท เพราะตนเองเคยทำมาแล้วสูงกว่านี้  จะทำให้ได้มากกว่านี้ก็คงไม่ยาก และอีกกระทรวงที่อยากเข้าไปจัดการคือ กระทรวงศึกษาธิการ อยากทำให้ลูกหลานคนจน ด้อยโอกาสได้เรียนฟรีจนจบการศึกษา