เจ้าของที่ดิน ร้อง “ชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม” ธนารักษ์นำที่ดินไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ

โพสเมื่อ : Wednesday, September 6th, 2023 : 5.01 pm

หลั่งน้ำตา เจ้าของที่ดินในพื้นที่ ต.สาคู จ.ภูเก็ต ร้อง “ชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม” หลังถูกธนารักษ์ฯ นำที่ที่ครอบครองอยู่ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ  เผยยื้อทวงสิทธิมาหลายปีแต่ไม่เป็นผล ล่าสุดชมรมเข้าช่วยเหลือ ยื่นฟ้องขอคืนสิทธิ์ที่ดินแล้ว

เมื่อเวลา 9.00 น. วันนี้ ( 6 ก.ย.) นายไสว จิตเพียร  ประธานชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม  ผศ.ร.อ.ดร.ประมาณเลิศ อัจฉริยปัญญากุล เลขานุการชุมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม  พร้อมด้วย นางชูชีพ บางวัฒนกุล และ นายสมบูรณ์ บางวัฒนกุล อยู่บ้านเลขที่ 60 / 17 ถนนแม่หลวน ต.ตลาดเหนือ  อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้เสียหายจากกรณี กรมธนารักษ์ ประกาศที่ดินราชพัสดุ ทับที่ดินที่ทีเอกสารสิทธิ์ครอบครั้ง ในพื้นที่ ต.สาคู อ.เมือง จ.ภูเก็ต เดินทางมายังศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อยื่นฟ้องร้อง ผู้อำนวยการสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต และ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในข้อหา กระทำละเมิด ติดตามที่ดินคืน และเรียกค่าเสียหาย

ผศ.ร.อ.ดร.ประมาณเลิศ อัจฉริยปัญญากุล เลขานุการชุมรมปิยธรรม เพื่อความเป็นธรรม   กล่าวว่า การลงมาในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต ในครั้งนี้ เนื่องจากเมื่อประมาณ 4 เดือน ที่ผ่านมา ได้รับการร้องขอความเป็นธรรมจาก ครอบครัว ของนางชูชีพ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ถึงความไม่ชอบพามากล และ รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม จากหน่วยงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต ที่มีการประกาศให้ที่ดิน ที่ผู้เสียหายครอบครองอยู่เป็นที่ดินราชพัสดุ ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายครอบครองที่ดินดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ซื้อมาจากเจ้าของเดิมเมื่อปี 2539 ซึ่งมีหลักฐานเป็น น.ส.3ก

หลังจากได้รับการร้องเรียนก็ได้ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น  โดยประสานไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำหลักฐานเอกสารต่าง ๆ มาวิเคราะห์ข้อมูล ก็พบความผิดปกติหลายจุด ซึ่งจากการสอบถามในส่วนของผู้เสียหายทราบว่าก่อนจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ จากเจ้าของเดิมได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินจริง และตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ในปี 2539 ที่ผ่านมา หลังจากซื้อ ได้นำที่ดินไปขอกู้เงินกับทางธนาคาร ต่อมาก็ได้นำ น.ส.3 ก. เลขที่ 137 ออกเมื่อปี 2521  แปลงดังกล่าวไปออกโฉนดที่ดิน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถออกโฉนดได้  ไม่มีใครคัดค้าน รวมทั้งเจ้าของที่ดินใกล้เคียง ซึ่งก่อนออกโฉนดทางที่ดินจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด

แต่ต่อมาทางธนารักษ์ ก็นำช่างรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าว โดยระบุว่าที่ดินดังกล่าว ธนารักษ์ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบหลักฐานว่ามีการบริจาคที่ดินแปลงดังกล่าวให้ แต่ทางหน่วยงานที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจเต็ม ซึ่งที่ผ่านทางเจ้าของที่ดินได้พยายามติดต่อมาอย่างต่อเนื่องเพื่อจะขอตรวจสอบหนังสือหลักฐานการบริจาคที่ดินแปลงดังกล่าว แต่ก็ไม่พบหลักฐานดังกล่าว  นอกจากนั้นจากการตรวจสอบพบว่ายังมีข้อสงสัยหลายอย่างในที่ดินแปลงดังกล่าว  รวมทั้งขณะนี้ยังมีการนำป้ายไปติดในที่ดินแปลงดังกล่าวว่าเป็นที่ดินธนารักษ์ ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อเนื่อง

ผศ.ร.อ.ดร.ประมาณเลิศ กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ พบว่า ทางผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งที่ดินแปลงนี้ผู้เสียหายซื้อมาเมื่อปี 2539  และมีการครอบครองมาโดยตลอด แต่เมื่อปี 2543 ทางกรมธนารักษ์ ได้นำที่ดิน น.ส.ก. เลขที่ 137 ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ  ภก.216  โดยที่ไม่มีหนังสือบอกกล่าวกับผู้เสียหายแม้แต่ฉบับเดียวและผู้เสียหายไม่ทราบมาก่อนว่าธนารัก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขึ้นทะเบียน

ซึ่งผู้เสียหายมาทราบเมื่อปี 2557  ในช่วงที่ขออนุญาตก่อสร้างอาคารกับทาง อบต.สาคู ซึ่งทาง อบต.อนุญาตให้ก่อสร้างได้  แต่ต่อมาเมื่อมีเรื่องของความทับซ้อนในสิทธิ์ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวเกิดขึ้น ทางอบต.จึงได้ทำหนังสือสอบถามไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอถลาง อีกครั้ง ซึ่งทางสำนักงานที่ดินก็ได้มีการตอบกลับมา ว่า น.ส.3ก. เลขที่ 137  ต.สาคู ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 44802 มีชื่อของนางชูชีพ  บางวัฒนกุล เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนที่ดินดังกล่าวทับซ้อนกับที่ดินราชพัสดุหรือไม่ จากการตรวจสอบไม่ปรากฎหลักฐานการได้มาของที่ราชพัสดุแต่อย่าง

ดังนั้นหลังจากรวบรวม พยายานหลักฐานทั้งหมด แล้ว ทางชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม จึงได้ตกลงกันว่าจะฟ้องร้อง ผู้อำนวยการสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต เป็นจำเลยที่ 1 และ อธิบดีกรมธนารัก์ เป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาหรือฐานความผิด  กระทำและละเมิด ติดตามที่ดินคืน และเรียกค่าเสียหาย โดยยื่นฟ้องวันนี้ ( 6 ก.ย.) เพื่อให้ชำเลยคืนสิทธิการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้ให้แผนที่ที่ราชพัสดุทะเบียน ภก.๒๑๖ เป็นโมฆะ ใช้บังคับมิได้ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปขัดขวางรบกวนสิทธิการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินตามฟ้องทั้งหมด  ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย เป็นเงิน 1 ล้าน พร้อมดอกเบี้ย และ อื่น

อย่างไรก็ตามพบว่าหลังจากที่ทางชมรมลงมารับเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้เสียหายจากการนำที่ที่มีผู้ครอบครองไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุในพื้นที่ภูเก็ตอีกหลายราย ซึ่งหลังจากนี้จะนำเรื่องดังกล่าวไปเสนอต่อคณะกรรมาธิการสภา ผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการตรวจสอบทั้งระบบ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมาก

 

ขณะที่นางชูชีพ และ นายสมบูรณ์ บางวัฒนกุล ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ตามหลักฐาน น.ส.ก. เลขที่ 137 ต่อมาเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ เลขที่ 44802  จนกระทั่งมาทราบในตอนหลังว่า ทางธนารักษ์ได้นำที่ดิน น.ส.3 ก.ที่ตนครอบครองไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ หลังจากทราบเรื่องก็พยายามที่จะติดตามเรื่องและยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของตนที่ซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิม แต่ก็ไม่เป็นผล จนขณะนี้เวลาล่วงเลยมาหลายปี หมดหนทางในการทวงคืนที่ดินกลับมา แต่โชคดีที่มีชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม จึงได้ยื่นเรื่องดังกล่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ และสุดทางทางชมรมก็เข้ามาให้ความช่วยเหลือพวกตนและครอบครัว ในการต่อสู้เพื่อนำที่ดินที่ควรจะเป็นของตัวเองตามสิทธิ์กลับมา