ห้ามปิดทาง – เรียกเก็บเงินลงหาดนุ้ย จ.ภูเก็ต ผู้ตรวจฯ เร่งรัฐดำเนินการทางปกครองให้เสร็จ

โพสเมื่อ : Wednesday, May 29th, 2019 : 9.31 am

ผู้ตรวจฯ เร่งติดตามปัญหาข้อพิพาทกรณีที่ดินหาดนุ้ย สั่ง เร่งดำเนินการทางปกครอง ห้ามปิดทาง – เรียกเก็บเงินค่าลงหาด ขณะผู้อ้างสิทธิ์ครอบครองที่ดินยันยังมีสิทธิ์ ตาม ส.ค.1 ระบุซื้อต่อมาจากคนร้องให้ตรวจสอบ

สำหรับปัญหาการตรวจสอบที่ดินของหลายหน่วยงานบริเวณหาดนุ้ย ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังมีการร้องเรียนขอให้มีการตรวจสอบการบุกรุกครอบครองที่ดิน และ การปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ที่ไม่รับแจ้งความข้อหาบุกรุก ซึ่งพบว่าผู้ถูกร้องมียศทางทหาร ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28 พ.ค.) ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลกะรน  อ.เมืองภูเก็ต นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานประชุม ติดตามกรณีการดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขข้อพิพาทพื้นที่หาดนุ้ย ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต โดยมี ร.ต.ต. พงศกร มีพันธุ์ เจ้าหน้าที่สอบสวนอาวุโสระดับสูง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นาวาเอกภุชงค์ รอดนิกร เสนาธิการ กองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 3 พ.ต.อ.ประวิทย์  สุทธิเรืองอรุณ ผกก.สภ.กะรน นายทวี ทองแช่ม นายกเทศมนตรีตำบลกะรน นายวินัย ชิดเชี่ยว กำนันตำบลกะรน เจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต  เจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ทหารชุด ชป.รส.ร25 ร่วมประชุม

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับเรื่องร้องเรียน จากนายชโลธร โชติพนัง บุตรชายนายธนา โชติพนัง บิดา ผู้รับต่อสิทธิ์ ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01) สารบัญทะเบียนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เลขที่ 80 เล่ม 1 หน้า 80 เนื้อที่ประมาณ 68 ไร่ ซึ่งอยู่ใกล้ชายหาดนุ้ย ว่า ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน สภ.กะรน ที่ไม่รับแจ้งความร้องทุกข์และดำเนินการคดีกับพันจ่าเอกสิงหา  เพ็งแก้ว ในความผิดฐานบุกรุกและใช้กำลังข่มขู่บังคับให้ผู้ร้องออกจากที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01) เนื้อที่ประมาณ 68 ไร่  และ ระบุว่า สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ร.ต.ต. พงศกร มีพันธุ์ เจ้าหน้าที่สอบสวนอาวุโสระดับสูง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใน 3 ประเด็นดังนี้ สรุปได้ดังนี้ ประเด็นแรก กรณีที่ นายชโลธร โชติพนัง  ยื่นเรื่องร้องเรียน ว่า พนักงานสอบสวน ไม่รับแจ้งความร้องทุกข์และดำเนินการคดีกับพันจ่าเอกสิงหา  เพ็งแก้ว ที่บุกรุกและใช้กำลังข่มขู่บังคับให้ผู้ร้องเรียนออกจากที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01) ซึ่ง ร.ต.อ.สุริยง บัวเกิดเพชร รอง สว.(สอบสวน) สภ.กะรน ได้รายงานต่อที่ประชุม ว่า ได้มีการรับแจ้งความร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังติดขัดในเรื่องอำนาจการร้องทุกข์ ซึ่งในประชุมมีเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต ยืนยันว่าผู้ร้องเรียนมีอำนาจ จึงได้แจ้งให้ผู้ร้องเรียนมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนอีกครั้ง

ประเด็นที่ 2 กรณี การดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินเขต ส.ป.ก. จำนวน 68 ไร่เศษ ของ นายธนา  โชติพนัง บิดา ของนายชโลธร ผู้ร้องเรียน ซึ่งเสียชีวิตแล้ว  เจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตรายงานว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการเข้าใช้ประโยชน์ของผู้ร้องเรียนในฐานะทายาท  และประเด็น  3 กรณีที่ดิน สค.1 เลขที่ 239 ที่ศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอน นส.3 เลขที่ 239 (หน้าชายหาด) เนื้อที่ประมาณ 18 ไร่เศษ ตกเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งปัจจุบันยึดเป็นของกรมป่าไม้  แต่มีพันจ่าเอกสิงหา เพ็งแก้ว เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์  โดยเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้แจ้งว่าได้มีการดำเนินคดีกับพันจ่าเอกสิงหา เพ็งแก้ว แล้ว ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพิจารณาของพนักงานอัยการ  ส่วนการดำเนินการทางปกครอง เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดิน จะร่วมกันเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรา 25 ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ฯ

หลังเสร็จสิ้นการประชุม คณะผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ ที่บริเวณหาดนุ้ย จุดพิพาท ตามร้องเรียน โดยได้พบกับ พันจ่าเอกสิงหา เพ็งแก้ว คู่กรณีของนายชโลธร อยู่ในพื้นที่ด้วย จากการซักถามเรื่องที่ดิน สค.1 เลขที่ 239  พันจ่าเอกสิงหาฯ แจ้งว่า ได้ซื้อที่ดินมาจากนายชโลธร ตั้งแต่ประมาณปี 2557 พร้อมนำหลักฐานต่างๆมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่  เพื่อโต้แย้งว่ายังมีสิทธิในการครองครองที่ดิน สค.1 เลขที่ 239 แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาแล้ว

ร.ต.ต. พงศกร มีพันธุ์ เจ้าหน้าที่สอบสวนอาวุโสระดับสูง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดิน เร่งรัดดำเนินการทางปกครอง ตามมาตรา 25 พ.ร.บ.ป่าไม้ฯในที่ดินแปลงดังกล่าว  ซึ่งหากพันจ่าเอกสิงหา ไม่เห็นด้วยก็สามารถใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านหรือโต้แย้งสิทธิได้ในชั้นศาลอีกครั้งตามกฏหมาย  แต่ระหว่างนี้จะต้องห้ามไม่ให้มีการปิดกั้นทางเข้า-ออก ทางลงหาดนุ้ย และเรียกเก็บเงินค่าผ่านทางโดยเด็ดขาด