สูญเงินครึ่งแสน! ชาวต่างชาติถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่งชุดตำรวจวีดีโอคอล อ้างเป็นตร.เมืองภูเก็ต หลอกให้โอนเงิน

โพสเมื่อ : Thursday, February 3rd, 2022 : 4.49 pm

 

เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ ( 3 ก.พ.) นายอลัน ก่อนย่า อายุ 58 ปี ชาวสวิตช์เซอร์แลนด์ เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.ศักดิ์ชัย ฉุ้นย่อง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองภูเก็ต ว่า ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต โดยอ้างว่ามีคนนำหมายเลขพาสปอร์ต(หนังสือเดินทาง) ไปทำผิดกฎหมาย พร้อมกับขู่บังคับว่าจะติดคุก โดยใช้วาจาทั้งหว่านล้อม ทั้งข่มขู่ จนรู้สึกตกใจ หวาดกลัว จนกระทั่งท้ายที่สุดถูกหลอกให้โอนเงิน จำนวน 57,000 บาท

 

นายอลันฯ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนและครอบครัวอาศัยและทำธุรกิจอยู่ที่ จ.ภูเก็ต มากว่า 25 ปี เคยได้เห็นแต่ในข่าวว่า มีแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์หลอกให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินไป ไม่นึกว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.พ.65 เวลา 17.00-22.00 น.ได้มีผู้หญิงโทรศัพท์มาจากบริษัทขนส่งชื่อดังแห่งหนึ่งแอบอ้างว่า พัสดุที่ส่งของตนมีปัญหาและตนมีการส่งของผิดกฎหมาย หลังจากนั้นได้มีอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายโทรมา แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างว่ามีคนร้ายได้ใช้หมายเลขพาสปอร์ตของตนไปดำเนินการในลักษณะดังกล่าว

 

จากนั้นมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นตำรวจรายนี้บอกว่า อยากคุยกับคนที่พูดภาษาไทยได้ ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงลูกชายวัย 14 ปี ที่พูดภาษาไทยได้ ตนจึงให้ลูกชายมาพูดคุย โดยคุยกันผ่านไลน์แอปพลิเคชั่นที่ใช้ชื่อว่า “สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต” และมีการเปิดวีดีโอคอลคุยกัน ซึ่งมิจฉาชีพรายดังกล่าวสวมเครื่องแบบคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และได้บอกว่าขณะนี้จับตัวคนร้ายที่ใช้พาสปอร์ตของพ่อ (นายอลัน) ที่ไปกระทำผิดกฏหมายได้แล้ว แต่อยากจะขอตรวจสอบข้อมูลอื่นๆของนายอลันก่อน และขอให้ทางนายอลันส่งข้อมูลหลักฐานส่วนตัวไปให้ เช่น  หมายเลขพาสปอร์ต,ใบขับขี่,เลขท้ายของสมุดธนาคาร เป็นต้น

และได้อ้างว่าตอนนี้คดีอยู่ที่สำนักงานดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบอยู่ และรวมถึงขอให้มีการโอนเงินเพื่อจะทำการตรวจสอบว่า เงินในบัญชีของพ่อ (นายอลัน) มาจากไหน และยังได้มีการข่มขู่ว่าหากไม่โอนจะผิดกฏหมาย และจะต้องจำคุกถึง 10 ปี ซึ่งทางมิจฉาชีพรายดังกล่าวบอกว่าจะมีการตรวจสอบเงินที่โอนมาแล้วจะโอนกลับคืนมาให้ภายใน 30-45 นาที และยังถามอีกว่ามีบัญชีอื่นๆอีกหรือเปล่า อย่างเช่น บัญชีในต่างประเทศ ซึ่งทางครอบครัวเองก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ตกใจมาก และกลัวมาก นึกว่าเป็นตำรวจจริงๆ จากนั้นจึงหลงเชื่อ และได้ตัดสินใจโอนเงินไปทั้งหมด 57,000 บาท แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไป ตนจึงได้เข้าไปสอบถามญาติเลยได้คำตอบว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกให้โอนเงินไปแน่นอน หลังจากนั้นตนพร้อมครอบครัวได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อดำเนินการตรวจสอบ

 

นายอลัน ยังกล่าวอีกว่า หากมีโทรศัพท์โทรมาในลักษณะดังกล่าว อย่าหลงเชื่อใดๆทั้งสิ้น และอย่าส่งหรือโอนเงินไปเด็ดขาด เพราะว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนก็อยากจะให้เป็นตัวอย่าง และไม่อยากเห็นใครต้องสูญเสียเงินไปให้กับกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ อีกทั้งอยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมกลุ่มคนเหล่านี้มาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ได้