นักการเมืองปูดจ่ายเงินผ่านด่าน ขณะผู้ว่าฯภูเก็ตแจ้งรายงานข้อเท็จจริงวันนี้ ด้านโซเชียลไม่เชื่อ

โพสเมื่อ : Monday, May 4th, 2020 : 2.46 pm

โซเชียล ไม่เชื่อ หลังนักการเมืองปูด กรณีจ่ายเงินผ่านด่านข้ามจังหวัด ระบุคนเดือดร้อนจะเอาเงินที่ใหญ่จ่าย เช่นเดียวกับคนที่ออกเดินทางที่เข้ามายืนยันไม่มีการจ่ายเงิน ขณะผู้ว่าฯภูเก็ตแจ้งผู้การรายงานข้อเท็จจริงภายในวันนี้

จากกรณี นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาให้ข่าวว่า มีข่าวกระหึ่มทั่วจังหวัดภูเก็ตว่า เมื่อเช้ามืดของวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ด่านท่าฉัตรชัย ซึ่งเป็นด่านของทหาร ตำรวจจังหวัดภูเก็ต มีการเก็บเงิน เพื่อแลกกับการผ่านด่านเดินทางไปต่างจังหวัด โดยไม่ผ่านมติของคณะกรรมการ ควบคุมโรคติดต่อของจังหวัด

อย่างไรก็ตามหลังมีข่าวดังกล่าว โลกโซเชียล ในภูเก็ตต่างก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น กรณี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ซึ่งบริเวณด่านตรวจในวันดังกล่าวมีคนจำนวนมาก และทุกจุดมีกล้องวงจรปิด  ที่สำคัญคนที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตทุกคนกำลังลำบาก เงินมีจำกัด ไม่มีเงินพอที่จะมาจ่าย นอกจากนั้นยังมีการแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจทำงานในการอำนวยความสะดวกให้คนที่ต้องการเดินทางออกจากจังหวัด

เช่นเดียวกับคนต่างจังหวัดที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางผ่านด่านตรวจ ได้มีการระบุว่าที่ออกมาได้ไม่ใช่เพราะจ่ายเงิน เพราะเงินที่จะกินยังไม่มีจะเอาเงินที่ใหญ่จ่าย และขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการผ่านด่านครั้งนี้ ระบุอย่าเอาการเมืองมาเล่น

ขณะที่ เกี่ยวกับเรื่องนี้นายภคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตามข่าวที่ปรากฏตามสื่อมวลชน ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ จากคนที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อแลกกับการเดินทางผ่านด่านตรวจ สำหรับรอยต่อของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงานั้นคือด่านตรวจท่าฉัตรไชย ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางจังหวัดได้ตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้าซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดฝ่ายความมั่นคง นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย เป็นหัวหน้าคณะทำงาน มี ปลัดอำเภอถลางเป็นฝ่ายเลขานุการ และต่อมาทางจังหวัดภูเก็ตมีนโยบายในการปิดด่านตำบลตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา ทางฝ่ายปกครองจึงได้ถอนกำลังมาดำเนินการปิดรอยต่อระหว่างตำบล ในส่วนของด่านท่าฉัตรไชย จึงเป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ทหารเรือ

อย่างไรก็ตามหลังจากมีข่าวดังกล่าวออกมา ทางจังหวัดได้มีวิทยุด่วนที่สุด แจ้งไปยังผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานมายังจังหวัดภูเก็ตภายในวันนี้ ซึ่งทางจังหวัดจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ส่วนกรณี การบริหารจัดการที่ด่านตรวจท่าฉัตรไชยเพื่อเตรียมการในกรณีคนต้องการที่จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต นั้นทางจังหวัดได้มีการเตรียมการไว้ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่าน เพราะตอนนั้นคำสั่งปิดจังหวัดจะมีผลถึงสิ้นเดือน เม.ย. เพื่อที่จะประเมินสถานการณ์ เนื่องจากในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมีคนต่างจังหวัดเข้ามาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก  ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะมีคนต่างจังหวัดที่ต้องการเดินทางกลับบ้านเกิดอยู่ที่ผระมาณ 50,000 คน หลังจากนั้นก็มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อให้มีการผ่อนคลายและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แต่ใช่วงช่วงที่เป็นรอยต่อที่จะมีการเปลี่ยนผ่านก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้นที่บริเวณด่านเนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เดินทางไปรอเพื่อจะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตทำให้ไม่มีความสะดวก

แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้การเตรียมการต่าง ๆ มีความพร้อมทั้งเรื่องของการลงทะเบียนเพื่อแจ้งความจำนง และลงทะเบียนจองคิว ทำให้บริเวณด่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีระเบียบ คนไม่ไปกระจุกเหมือนที่ผ่านมา และขอยืนยันว่าคนที่จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตมีการกักตัวเกิน 14 วันแล้ว และ ทุกคนจะมีใบรับรองจากต่างจังหวัด และก่อนจะออกจะต้องผ่านตรวจวัดไข้อีกครั้ง มาตรการในการคัดกรองของจังหวัดภูเก็ตมีความเข้มข้นมาโดยตลอด และมีการล็อกดาวน์รอยต่อตำบลมานานเกือบเดือนแล้ว มีการตรวจวัดไข้ทุกคน พร้อมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ที่ทำงาน คนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตและต้องการออกไปนั้นมีความปลอดภัยเพราะมีการคัดกรองตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข

อย่างไรก็ตามในส่วนของจังหวัดภูเก็ตต้องขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่คอยอำนวยความสะดวก ในการต้อนรับประชาชนของแต่ละจังหวัดกลับไปยังภูมิลำเนา ซึ่งบางจังหวัดมีการส่งรถมารับถึงที่จังหวัดภูเก็ต เช่นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี

ส่วนกรณีที่มีการสอบถามว่ามีคนลักลอบหนีด่านตรวจหรือไม่ นายภัคพงศ์ กล่าวว่า เท่าที่ตรวจสอบไม่น่าจะมี เพราะคนที่ออกเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ จะต้องได้รับการยื่นยัน และมีรายชื่อส่งไปที่จังหวัดปลายทาง และจะต้องมีหนังสือรับรองจากจังหวัด รวมทั้งหนังสือการสาธารณสุข เพื่อนำไปยื่นยังด่านต่าง ๆ นอกจากนั้นจะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนทุกคน การเล็ดลอดออกจากด่านจึงไม่น่าจะมีความเป็นได้