ทหายเข้าของเรือฟีนิกซ์ร้องลูกความถูกบังคับให้รับสารภาพ เผยมีหลักฐานเป็นคลิปเสียง

โพสเมื่อ : Tuesday, August 14th, 2018 : 5.23 pm

ทนายความเจ้าของเรือฟีนิกซ์ยื่นหนังสือถึงผู้การฯภูเก็ต ขอความเป็นธรรมในการดำเนินคดี ลูกซึ่งเป็นเจ้าของเรือถูกพนักงานสอบสวนตำรวจท่องเที่ยวบีบบังคับให้รับว่าเป็นนอมินีแลกรับการไม่ดำเนินคดีคนในครอบครัวและไม่คัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล

เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (14 ส.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต น.ส.นลิน อินทรสมบัติ ทนายความผู้ถูกกล่าวหาคดีเรือฟีนิกซ์ล่ม พร้อมด้วย นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ที่ปรึกษาทนายความ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอความเป็นธรรมให้ น.ส.วรลักษณ์ ฤกษ์ชัยกาล กรรมการ บริษัท ทีซีบลู ดรีม จำกัด เจ้าของเรือฟีนิกซ์ ที่ก่อนหน้านี้ถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จากเหตุเรือฟีนิกซ์ล่มที่บริเวณเกาะเฮ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต 47 คน และขณะนี้ถูกฝากขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ต

นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ที่ปรึกษาทนายความ เปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือ ว่า ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์เรือฟีนิกซ์ล่ม สาธาณชนยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดในส่วนของเจ้าของเรือ ซึ่งทางเจ้าของเรือต้องการที่จะออกมาชี้แจงถึงรายละเอียดตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ แต่เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและภาพรวมของเศรษฐกิจ ได้แต่หวานอมขมกลืนกับการทำงานของพนักงานสอบสวน ที่แจ้งข้อกล่าวหาเจ้าของเรือ คือ น.ส.วรลักษณ์ ฤกษ์ชัยกาล ในข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแต่ความตาย ซึ่งการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวกับเจ้าของเรือนั้น ทางพนักงานสืบสวนมีพยานหลักฐานอะไร หากจะระบุว่าเรือถูกดัดแปลง ถามว่ามีพนักงานสืบสวนคนไหนได้ดำน้ำลงไปตรวจสอบเรือลำดังกล่าวหรือยัง และได้มีการคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาลเพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี ก็ไม่ว่ากันเพราะเป็นไปตามขบวนของศาล

“แต่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้และเป็นกังวล คือ การทำงานของตำรวจท่องเที่ยว ที่แจ้งข้อกล่าวหานอมินี คือ ภายหลังจากที่เจ้าของเรือ คือ น.ส.วรลักษณ์ ฤกษ์ชัยกาล ถูกฝากขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ต ได้มีพนักงานสอบสวน จากตำรวจท่องเที่ยว เข้าไปสอบปากคำและบอกให้ น.ส.วรลักษณ์ ให้ยอมรับว่าเป็นนอมินีของคนสัญชาติหนึ่ง ถ้าไม่รับสารภาพจะแจ้งความดำเนินคดีกับ พ่อ แม่ และพี่ชาย ของ น.ส.วรลักษณ์ด้วย และหากยอมรับว่าเป็นนอมินี จะไม่คัดค้านการประกันตัว ทำให้ น.ส.วรลักษณ์จำใจต้องสารภาพว่าเป็นนอมินีของคนสัญชาตินั้น เพื่อกันไม่ให้พ่อ แม่ และพี่ชาย เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีด้วย เพื่อให้ลูกที่อายุ 1 ขวบเศษได้มีคนดูแล ” นายนิพิฎฐ์ กล่าวและว่า

การสอบสวนของตำรวจในลักษณะแบบนี้ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตำรวจจะไปต่อรองและให้คำมั่นสัญญาไม่ได้ หากผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ทางเราจึงได้ซ้อนแผนการทำงานของตำรวจ ด้วยการอัดคลิปการสนทนาระหว่างพี่ชายของ น.ส.วรลักษณ์ กับพนักงานสืบสวนของตำรวจท่องเที่ยว มีความยาวกว่า 1 ชั่วโมง โดยอ้างว่าสิ่งที่ดำเนินการนั้น เป็นไปตามคำสั่งของรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวท่านหนึ่ง หากสารภาพว่าเป็นนอมินี จะไม่ดำเนินการกับครอบครัวและจะให้ประกันตัว

วันนี้จึงได้มายื่นหนังสือถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ว่า สิ่งใดๆที่เจ้าของเรือฟีนิกซ์ได้ให้การกับทางพนักงานสอบสวนขณะอยู่ในเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ขอให้เป็นโมฆะ และนับจากวันนี้เป็นต้นไป ทางเจ้าของเรือจะไม่ให้ปากคำใดๆทั้งสิ้นต่อพนักงานสืบสวน และหากมีการสอบสวนเพิ่มเติมถือว่าคำให้การนั้น ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากไม่มีทนายความร่วมในการให้ปากคำด้วย และหากทางตำรวจยังคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา จะดำเนินการร้องเรียนไปยัง ปปช.ต่อไป

นายนิพิฎฐ์ เผยต่อว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ทีมทนายจะเดินทางไปยื่นขอประกันตัวผู้ต้องหาและยื่นขอให้ศาลไต่สวนพฤติกรรมของตำรวจในการคัดค้านการประกันตัว ที่ไม่มีเหตุผล เป็นการใช้อำนาจศาลต่อรองการประกันตัวของผู้ต้องหา ซึ่งจะได้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขั้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล

“เรามั่นใจว่าเรือฟีนิกซ์ดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ จากคลื่นลมแรง เรือเดินทางมาเกินกว่าครึ่งทางแล้วถึงเกิดพายุลมแรง หากเลี้ยวหัวกลับจะเกิดอันตรายมากกว่านี้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าของเรือ จึงไม่เข้าใจว่าทางพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าของเรือว่าประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้อย่างไร” นายนิพิฎฐ์ กล่าวและว่า

ส่วนกรณีที่ทางเจ้าของเรือปฏิเสธที่จะกู้เรือนั้น เป็นเรื่องจริง เนื่องจากทางเจ้าของเรือมองว่าเรือที่จมอยู่ในระดับน้ำลึก 45 เมตร ไม่กีดขวางการเดินเรือ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ จึงไม่ผิด พรบ.การเดินเรือ รวมทั้งค่ากู้เรือที่แจ้งไปยังเจ้าของเรือสูงถึง 45 ล้านบาท บริษัทไม่สามารถที่จะรับภาระค่ากู้เรือที่สูงขนาดนั้นได้ และที่สำคัญมีบริษัทเอกชนรายหนึ่งได้นำเสนอราคาในการกู้เพียง 4 ล้านบาทเท่านั้น และหากกู้ไม่สำเร็จก็จะไม่คิดค่าดำเนินการด้วย จึงไม่เข้าใจว่าทำไมค่ากู้เรือที่หน่วยงานราชการเสนอมานั้นสูงมากๆ