“ทนายกร” โต้นายทุนไม่เกี่ยวหลอกซื้อที่ดิน ทำตามสัญญาจ้าง 100 ล้าน เพิกถอนที่ดินคู่กรณีบนเกาะนาคา

โพสเมื่อ : Monday, September 30th, 2019 : 8.05 pm

“ทนายกร” ออกโรงโต้หลังถูกนายทุนแจ้งความ หลอกซื้อที่ดินบนเกาะนาคา ยันไม่เกี่ยวเรื่องซื้อที่ดิน ทำตามสัญญาว่าจ้างให้ดำเนินการเพิกถอนที่ดินคู่กรณี วงเงินค่าจ้าง 100 ล้านบาท หลังทำงานเสร็จไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง พร้อมยกเลิกสัญญาจ้าง เผยแจ้งความกลับแล้ว

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (30 ก.ย.) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวภูเก็ต นายณรงค์ฤทธิ์ เนติเกียรติวงศ์ ทนายความชื่อดังในจังหวัดภูเก็ต ออกมาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่นายชาญวิทย์ กิจเลิศสิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูเขาหกลูก จำกัด ได้เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีและร้องขอความเป็นธรรม ถูกกลุ่มมิจฉาชีพ หรือ แก๊งต้มตุ๋น เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินบนเกาะนาคาน้อย หมู่ที่ 5 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต หลอกเอาเงิน 80 ล้านบาท เพื่อแลกกับการออกโฉนดบนเกาะนาคาน้อย

โดยนายณรงค์ฤทธิ์ เนติเกียรติวงศ์ ทนายความชื่อดังในจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า กลุ่มมิจฉาชีพหรือแก๊งต้มตุ๋นที่นายชาญวิทย์พูดถึงนั้น หมายถึงตน เนื่องจากนายชาญวิทย์ได้ว่าจ้างให้ตนไปดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินคู่กรณีของนายชาญวิทย์ บนเกาะนาคาน้อย จ.ภูเก็ต ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับตน การออกมาแถลงข่าวในวันนี้ เพื่อขอความเป็นธรรมให้ตัวเอง เนื่องจากเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา นายชาญวิทย์ได้ออกมาแถลงข่าวผ่านสื่อต่างๆ ว่า มีทนายความคนหนึ่งในภูเก็ต พร้อมกับระบุชื่อของตนว่ามีพฤติกรรมหลอกซื้อขายที่ดินบนเกาะนาคาน้อย เป็นแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวงออกโฉนด ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับตนเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องนั้น ตนไม่ได้เป็นนายหน้าขายที่ดิน หรือ รับออกโฉนดที่ดินบนเกาะนาคาน้อยแต่อย่างใด

โดยตนและนายชาญวิทย์นั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพิ่งมารู้จักกันเมื่อนายชาญวิทย์ได้มาซื้อที่ดินบนเกาะนาคาน้อย จำนวน 24 ไร่ เป็น นส.3 ก.เลขที่ 3977 แต่ถูกร้องเรียนและมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าว หลังจากนั้นนายชาญวิทย์ได้มาปรึกษาตน และตนได้เข้าไปดำเนินการในส่วนของการดำเนินคดีของดีเอสไอ.เกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิไม่ชอบ จนสำเร็จนายชาญวิทย์ไม่ถูกดำเนินการคดีในส่วนของดีเอสไอ. จากนั้นได้ปรึกษาต่อในส่วนของที่ดินคู่กรณีที่เป็นของตระกูลดาราดังที่อยู่ติดกันบนเกาะนาคาน้อย โดยนายชาญวิทย์เชื่อว่าการออกเอกสารสิทธิที่ดินของตระกูลดาราดังก็น่าจะออกไม่ชอบเช่นกัน

ตนจึงได้เสาะหาข้อมูล จนเป็นที่เชื่อได้ว่า เอกสารสิทธิที่ดินแปลงดังกล่าวน่าจะออกไม่ชอบเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการว่าจ้างให้ตนมาเป็นทนายความดำเนินการในการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของตระกูลดาราดัง โดยกำหนดค่าจ้าง 100 ล้านบาท จึงได้ทำสัญญาว่าจ้างต่อกัน โดยกำหนดชัดเจนว่าตนจะต้องดำเนินการให้มีการเพิกถอนที่ดินของคู่กรณีให้ได้ ซึ่งตนจะต้องดำเนินการใน 2 เรื่องหลักๆ คือ นำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ตนไปเสาะหามาถึงการได้มาโดยไม่ชอบของที่ดินแปลงดังกล่าว และนำเอกสารที่ได้มาไปร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไปร้องกับทาง พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตนได้พานายชาญวิทย์ไปด้วยในครั้งนั้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิที่ดิน ปรากฏว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงอธิบดีกรมที่ดินขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินของตระกูลดาราดังบนเกาะนาคาน้อย ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของนายชาญวิทย์

“ถือว่าได้ทำงานเสร็จสิ้นตามสัญญาจ้างแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.2560 ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำหนังสือให้กรมที่ดินเพิกถอนที่ดินของดาราดัง แต่นายชาญวิทย์ก็ยังไม่ได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด เงินค่าจ้าง 80 ล้านบาทที่นายชาญวิทย์ออกมาแถลงนั้นไม่เป็นความจริง นายชาญวิทย์ยังไม่จ่ายค่าจ้างตามสัญญาว่าจ้างแต่อย่างใด” ทนายดังกล่าวและว่า

เนื่องจากได้มีการเพิ่มค่าจ้างขึ้นเรื่อยๆ จาก 100 ล้านบาท เป็น 180 ล้านบาท เพื่อให้ตนนำที่ดินอีกแปลงหนึ่งของนายชาญวิทย์บนเกาะนาคาน้อย ที่มีหลักฐานเป็น ภ.บ.ท.5 ซึ่งนายชาญวิทย์ได้รับมอบมาจากผู้ที่ครอบครองที่ดินบนเกาะนาคาน้อย ตนจึงได้ตรวจสอบว่า ที่ดินบนเกาะนาคาน้อยนั้น สามารถครอบครองได้หรือไม่ จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการครอบครองที่ดินบนเกาะนาคาน้อย ที่นายชาญวิทย์ครอบครองแบบมือเปล่า โดยตรวจสอบไปยังป่าไม้เขต 12 ว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าหรือไม่ ปรากกฎว่าไม่อยู่ในเขตป่าสงวนและเขตป่าถาวร และทำการรังวัดสอบเขต ถ่ายรูปแผนที่ ป่าไม้จึงออกหนังสือรับรองให้นายชาญวิทย์ครอบครองที่ดินได้ จาก 50 ไร่ เป็น 70 ไร่

รวมถึงกำนันตำบลป่าคลอกได้ยืนยันการครอบครองและเก็บผลสินได้ และแจ้งไปยังป่าไม้เขต 12 ขอเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว จนคู่กรณีแจ้งความดำเนินคดีบุกรุกป่าและบุกรุกที่ดินที่อยู่ในการครอบครอง จึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 หน่วยงาน รวมถึงเจ้าของที่ดินใกล้เคียง มาตรวจสอบแนวเขตร่วมกันทุกฝ่าย ผลการตรวจสอบไม่มีปัญหาอะไร จึงนำนายชาญวิทย์ ไปยื่นขอออกเอกสารสิทธิที่ดินเฉพาะราย เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2561 แต่ทางเจ้าพนักงานที่ดินสาขาถลางแจ้งว่าไม่สามารถออกเอกสารสิทธิที่ดินเฉพาะรายให้ได้ นายชาญวิทย์ จึงไปร้องศาลปกครองเพื่อขอออกเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะนาคาน้อย ซึ่งถือว่าตนได้ดำเนินการให้ได้ซึ่งสิทธิการครอบครองที่ดินบนเกาะนาคาน้อยได้เสร็จสิ้นขบวนการแล้ว

นายชาญวิทย์จึงได้ทำสัญญาว่าจ้างให้ตนดำเนินการให้ได้ซึ่งสิทธิการครอบครองอีกครั้ง เมื่อถึงวันทำสัญญาว่าจ้างทนายความที่ต้องจ่ายเงินงวดแรก 5 ล้านบาท นายชาญวิทย์บอกว่าไม่มีเงิน และได้บอกเลิกสัญญาจ้างทั้งหมดที่ทำต่อกัน และออกมาแถลงข่าวว่าตนเป็นแก๊งต้มตุ๋น จึงอยากจะถามกลับไปว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเรียกว่าแก๊งต้มตุ๋นหรือ ถามว่าได้จ่ายค่าจ้างให้ตนแล้วหรือยัง 100 ล้านบาท ตนไม่สามารถออกโฉนดได้ ในฐานะนักกฎหมายดำเนินการได้ตามขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้น สามารถทำให้มีสิทธิครอบครองที่ดินได้

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวต่อว่า จากข่าวที่เกิดขึ้นทำให้ตนได้รับความเสียหาย ตนจึงได้ใช้สิทธิทางกฎหมายยื่นฟ้องนายชาญวิทย์ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และจะตามมาอีกหลายๆคดี ในเร็วๆนี้