ดีเอสไอ-ป่าไม้ลงพื้นที่ภูเก็ตตรวจสอบการบุกรุกถือครองป่าสงวนฯ ทำประโยชน์โดยมิชอบ

โพสเมื่อ : Friday, September 29th, 2017 : 1.46 pm

รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมป่าไม้ ลงพื้นที่ตรวจสอบการบุกรุกถือครองป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกขานาคเกิด-การปลูกสร้างบ้านพักตากอากาศหรูบนเขา พื้นที่ อ.เมืองภูเก็ต เชื่อมีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ

วันนี้(28 ก.ย.)พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการกองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ นายไพศาล หนูพิชัย หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ภก.2 (ภูเก็ต) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อร้องเรียนการบุกรุกถือครองทำประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด ม.1 ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยอ้างเอกสารสิทธิ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ และตรวจสอบพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างบนเขา บริเวณอ่าวเสน บ้านแหลมกระทิง ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังได้รับการร้องเรียนว่ามีการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศหรูบนเขา

พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จุดแรกที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ บริเวณป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด ม.1 ต.กะรน สืบเนื่องจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการร้องเรียนเข้ามาว่ามีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งในชั้นการตรวจสอบพบว่า เดิมทีมีการนำรังวัดประมาณ 40 ไร่ แต่ในภายหลังมีการเขียนเรื่องราวในสารระบบที่ดินว่า มีการตัดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติออกไปแล้ว เนื่องจากว่าพื้นที่ป่าสงวน ถ้าไม่มี สค.1 จะนำไปออกเอกสารสิทธิไม่ได้ เพราะเรื่องราวตรงนี้เป็นอ้างการเข้าทำประโยชน์ ก่อนปี พ.ศ.2497 โดยไม่แจ้ง สค.1 ไว้ แต่เรื่องราวในอดีตของที่ดินแปลงนี้ เคยมีคนเอา สค.1 ของที่ดินแปลงอื่นมาอ้างขอออกโฉนดที่ดิน แต่เจ้าของ สค.1 ตัวจริงมายืนยันว่า สค.1 ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เจ้าหน้าที่ก็เลยยกเลิกคำขอไป แต่ก็กลับมาอีกครั้งนี้ แต่ครั้งนี้ก็ไม่มี สค.1 แต่อ้างการทำประโยชน์ก่อนปี พ.ศ.2497 ในเรื่องราวบอกว่าตัดพื้นที่ป่าสงวนออกแล้ว ทั้งที่ข้อเท็จจริง ในแผ่นระวางเห็นเขตป่าสงวนอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ในข้อเท็จจริง จะเป็นป่าสงวนทั้งผืนหรือไม่ ต้องถามทางกรมป่าไม้อีกครั้งหนึ่งแต่ในระวางมีแนวเขตป่าสงวนให้เราเห็นอยู่แสดงว่า ป่าสงวนยังมีอยู่ร้อยละประมาณ 60-70% ในพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย ไม่สามารถนำไปออกโฉนดได้ เพราะต้องใช้ สค.1 เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าขบวนการออกเอกสารสิทธิ เบื้องต้น จากการดูระวางแผนที่บางส่วน น่าจะออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะอยู่ในเขตป่าสงวน พื้นที่เป็นภูเขาหรือไม่ต้องให้กรมพัฒนาที่ดินมาตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตภูเขา ก็จะเป็นข้อห้ามบทที่สอง เป็นข้อห้ามในการออกเอกสารสิทธิ เพราะการออกเอกสารสิทธิในเขตภูเขา จะต้องใช้เอกสาร สค.1 เช่นเดียวกัน จะมาอ้างการเข้าทำประโยชน์ก่อนปี พ.ศ.2497 ไม่ได้

ในส่วนของการออกสารสิทธิไม่ชอบ ได้ส่งเรื่องให้ ปปช.ไปดำเนินการแล้ว ในส่วนของที่ตรงนี้คงจะมองเรื่องของการบุกรุก คือบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ และที่ดินของรัฐ  ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ที่ดิน

ส่วนอีกจุดที่เข้าตรวจสอบ บริเวณอ่าวเสน บ้านแหลมกระทิง พ.ต.ท.ประวุธ กล่าวว่า จากการส่งเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เมื่อปี พ.ศ.2553 มีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ดิน 5 เลขโฉนดที่ดิน 96799 หน้าสำรวจ 3778 ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต ระวาง 4624 / 2258 มีเนื้อที่ 30-3-59.1 ไร่ ซึ่งการออกโฉนดที่ดินดังกล่าว เป็นการขอออกเอกสารสิทธิเฉพาะราย โดยไม่มีการแจ้งเอกสารการครอบครองมาก่อน ซึ่งผู้ขอออกเอกสารสิทธิดังกล่าว มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพฯ

จากการตรวจสอบพื้นที่จริงเบื้องต้นพบว่า บริเวณพื้นที่ออกเอกสารสิทธิและพื้นที่ใกล้เคียงมีหน้าดินตื้น พื้นที่เป็นหินส่วนใหญ่ไม่สามารถเพาะปลูกพืชทางการเกษตรได้ อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่บนเกาะมีลักษณะเป็นภูเขา ติดทะเล จึงมีเหตุให้เชื่อว่า การออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเป็นต้องดำเนินการสืบสวนตามมาตรา 23/1 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ขณะที่ พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการกองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ กล่าวเสริมว่า กรณีพื้นที่ของอ่าวเสน บ้านแหลมกระทิง นั้น เนื่องจากได้รับการร้องเรียนว่าที่ดินแปลงนี้น่าจะมีการออกเอกสารสิทธิ์ไม่ถูกต้อง โดยมีการขอออกโฉนดที่ดินเมื่อปี 2553 ฉบับเดียว ผู้ขอออกเป็นกลุ่มบุคคล 2 คน แปลงที่ดินจะเป็นแนวยาวพาดไปตามสันเขาจนถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ตรวจสอบเอกสารเบื้องต้น พบว่าเจ้าของเดิมมีการนำที่ดินดังกล่าวมาให้เช่าเป็นระยะเวลานาน 30 ปี แต่ละโซน และต้องตรวจสอบต่อไปว่า มีการจำหน่ายไปแล้วหรือยัง โดยอยู่ระหว่างการประสานงานกับทางกรมที่ดิน รวมทั้งต้องตรวจสอบต่อไปด้วยว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง เพราะเอกสารสิทธิมาขอออกในปี 2553 จึงต้องมาดูว่ามีการออกถูกต้องหรือไม่อย่างไร

ส่วนกรณีของอาคารหรูที่สร้างบดบังทัศนียภาพและเป็นประเด็นทางโซเซียลนั้น ก็จะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม เนื่องจากพบว่า การขอออกโฉนดเป็นการขอออกเฉพาะรายตามมาตร 59 ทวิ คือ อ้างการครอบครองตั้งแต่ก่อนปี 2498 ต้องมาดูว่าทำประโยชน์จริงหรือไม่ เป็นที่สงวนหวงห้ามหรือไม่ หรือเป็นที่ที่สามารถออกเอกสารสิทธิได้หรือไม่

 

12 ไฟล์แนบ