ชาวไทยใหม่ราไวย์เฮ ศาลตัดสินยกฟ้องคดีถูกฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่

โพสเมื่อ : Tuesday, January 31st, 2017 : 1.14 pm

ชาวไทยใหม่ ราไวย์ สุดตื้นตัน ศาลตัดสินยกฟ้องคดีเจ้าของโฉนดที่ดิน เลขที่ 8342 ฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ ระบุหลักฐานภาพถ่ายขณะในหลวงเสด็จประพาสหาดราไวย์ พบต้นมะพร้าวมีอยู่ก่อนหลายปี 1485842289467.jpg

วันนี้ ( 31 ม.ค.) ที่ศาลจังหวัดภูเก็ต ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น คคี หมายเลขดำ พ.1133/58 ระหว่าง นางบุญศรี ตันติวัฒนวัลลภ กับพวก เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 8342 หมู่2 บ้านราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ยื่นฟ้องขับไล่ นายแอ่ว หาดทรายทอง นายวรนันท์ หาดทรายทอง นายบัญชา หาดทรายทอง และนายนิรันดร์ หลังปาน ชาวไทยใหม่ บ้านราไวย์ โดยศาลนัดอ่านคำพิพากษาเวลา 9.30 น. รวม 4 คดี โดยในการรับฟังคำพิพากษามีเพียงนายนิรันดร์ หลังปาน ชาวไทยใหม่ จำเลยในคดีดังกล่าว  เข้าร่วมรับฟังคำตัดสินเพียงคนเดียว ขณะที่ฝ่ายโจทย์ไม่เดินทางมาศาลแต่อย่างใด1485842292978.jpg

อย่างไรก็ตามในการมารับฟังคำพิพากษาในครั้งนี้ได้มีชาวไทยใหม่ราไวย์เดินทางทางมาให้กำลังใจชาวบ้านที่มาฟังคำพิพากษาจำนวนมาก ต่างหอบเสื่อ จูงลูกจูงหลาน และนำอาหารมาร่วมรับประทานกัน เพื่อรอฟังคำพิพากษาในคดีดังกล่าว 1485842311855.jpgอย่างไรก็ตามหลังจากศาลอ่านคำพิพากษา นายนิรันดร์ ได้ลงมาแจ้งกับชาวบ้านถึงผลการตัดสินของศาล ว่า  วันนี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่ชาวไทยใหม่จำนวน 4 ราย ถูกเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ 8342 ฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ ซึ่งศาลได้มีการไต่สวนมาก่อหน้านี้แล้ว โดยมีการพิจารณาในหลายประเด็น ซึ่งประเด็นหนึ่งที่มีการพิจารณาคือภาพภายตอนในหลวงรัชกาลที่ 9เสด็จพระพาสหาดราไวย์ เมื่อปี 2502 ซึ่งในภาพมีต้นมะพร้าวขนาดใหญ่อยู่ โดยทางโจทย์แจ้งว่ามีการปลูกมะพร้าวประมาณ 10 ปี แต่จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าต้นมะพร้าวดังกล่าว มีอายุมาก 30 ปี จึงเป็นข้อขัดแย้งและข้อพิรุธนอกจากนั้นยังมีข้อพิรุธอีกหลายอย่างที่ศาลนำมาประกอบการพิจารณา ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว เพราะชาวเลมีการใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาก่อน1485842309170.jpg

นายนิรันดร์ ยังได้กล่าวต่อไปทั้งน้ำตา ถึงความรู้สึกหลังศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้องในคดีดังกล่าว ว่า รู้สึกดีใจและตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ที่พยานหลักฐานต่างๆที่หน่วยงานยุติธรรม และ ดีเอสไอ เข้ามาช่วยเหลือในการสืบหาพยานหลักฐานต่างๆเพื่อนำไปต่อสู่ในคดี จนศาลศาลมองเห็นว่าวิถีชีวิตและชาติพันธ์ของชาวเลมีประวัติศาลาและวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนาน และหลักฐานชัดเจนจึงตัดสินยกฟ้องในคดีดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 13 ธันวาคม 2559 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้มีคำ พิพากษายกฟ้องในคดีที่นายจำเริญ มุกดี ทายาทนายทัน มุขดี เจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8342 ฟ้องขับไล่ นายจรูญ หาดทรายทอง และนางแต๋ว เซ่งบุตร โดยศาล ได้วินิจฉัยว่าชาวเลราไวย์คือผู้ที่มีสิทธิ์ในที่ดินและการออกโฉนดดังกล่าว เป็นการออกไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงพิพากษายกฟ้อง ซึ่งในส่วนของคดีในที่ดินแปลงดังกล่าวมีชาวบ้านถูกฟ้องอีกหลายราย 1485842323393.jpg

สำหรับการเดินทางมาของชาวบ้านในวันนี้มีชาวบ้านมาให้กำลังใจจำนวนมาก เพราะชาวบ้านไม่มั่นใจว่าจะตัดสินออกมาเหมือนกับ 2คดีที่ผ่านมาหรือใหม่ จึงเดินทางมาให้กำลังใจและรอฟังคำตัดสินด้วย เมื่อผลออกมาว่าศาลยกฟ้อง ก็สร้างความดีใจและตื้นตันใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ชาวบ้านรอคอยและร่วมต่อสู้กันมายาวนาน การตัดสินของศาลในครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านมีกำลังใจที่จะร่วมต่อสู้กันต่อไป  และที่สำคัญคือจะต้องขอบคุณหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาช่วยเหลือหาหลักฐานพยานต่างๆ ทั้งภาพภายดาวเทียม ภาพถ่ายตอนในหลวงเสด็จประพาสหาดราไวย์ โครงกระดูก และอื่นๆอีกมากมาย เพราะโดยชาวบ้านเองเชื่อว่าไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาต่อสู้กับเจ้าของโฉนดได้อย่างแน่นอน 1485842306187.jpg

นายนิรันดร์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับคดีที่เจ้าของโฉนดแปลงต่างๆยื่นฟ้องชาวไทยใหม่ราไวย์ มีประมาณ 117 คดี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีคดีที่ชาวไทยใหม่แพ้คดีบ้าง ชนะคดีบ้าง และล่าสุด มีการสั่งยกฟ้องไปรวม 6 คดี สำหรับการต่อสู้ของชาวไทยใหม่นั้นต่อสู้ในเชิงวัฒนธรรม เอาความจริงมาคุยกัน และพยานหลักฐานต่างๆที่นำมาแสดง เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการยืนยันว่าชาวไทยใหม่เข้ามาอาศัยอยู่ยาวนานแล้ว1485842959714.jpg

อย่างไรก็ตามสำหรับความเป็นมาของคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ชาวไทยใหม่ชุมชนราไวย์ หมูที่2 ตำบลราไวย์ อำเภอเมือง โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(ขปส.)ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านคดีความ กรณี เกี่ยวกับปัญหาการพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดิน ซึ่งปัจจุบันมีประชากรประมาน 2,067 ครัวเรือน เนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ อาศัยกันอย่างหนาแน่น โดยชาวเลอ้างว่าได้อยู่อาศัยและทำมาหากินในพื้นที่พิพาทต่อเนื่องกว่า 7 ชั่วอายุคน มีการตั้งบ้านเรือน มีวัฒนธรรมและวีถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ด้วยไม่รู้กฎหมาย จึงถูกบุคคลภายนอกที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ภายหลัง แจ้งการครอบครอง ทำประโยชน์และออกเอกสารสิทธิในที่ดิน แล้วนำเอกสารสิทธิดังกล่าวมาฟ้องขับไล่ในเบื้องต้นศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ราษฎรชาวเลราไวย์ออกจากพื้นที่แล้ว 9 รายคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำพิพากษา 1485842940045.jpg

ทางกระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานรับเรื่องมาทำการตรวจสอบ และการปฏิบัติงานในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัยเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิชุมชนไท กรมศิลปากร สำนักงานยุติธรรมจังหวัดภูเก็ตจึงได้เข้ามาให้การช่วยเหลือเนื่องจากการพิจารณาคดีนั้น ฝ่ายชาวเลราไวย์ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาหักล้างเอกสารสิทธิของฝ่ายโจทก์ ซึ่งออกมาจากหลักฐาน ส.ค.1 ที่มีผู้ไปแจ้งการครอบครองที่ดินของชาวราไวย์ เมื่อปี 2498 ได้ประกอบเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ยืนยันว่า การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบของกรมที่ดินแล้ว ศาลจึงพิพากษาว่าเอกสารสิทธิของฝ่ายโจทก์เป็นเอกสารมหาชนที่ออกโดยรัฐ เมื่อไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาโต้แย้งสิทธิได้ สิทธิของโจทก์จึงได้มาโดยชอบและมีคำสั่งให้ชาวเลราไวย์ ออกจากพื้นที่พิพาท

ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์สิ่งที่ชาวเล กล่าวอ้าง แนะนำพยานหลักฐานเข้าสู่การ การพิจารณาของศาล ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานได้พบหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ชาวเลราไวย์ได้อาศัยอยู่ก่อนการออกส.ค.1และโฉนดที่ดิน ของโจทก์ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายทางอากาศย้อนอดีต โครงกระดูกที่ขุดค้นพบที่พื้นที่พิพาทซึ่งตรวจ DNA แล้วมีความสัมพันธ์กับบุคคลในชุมชนในลักษณะเครือญาติโดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่ทำการขุดค้น นอกจากนี้ยังพบว่าทะเบียนนักเรียนเล่มแรกของโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต พบรายชื่อชาวเลราไวย์เข้ามาศึกษา เมื่อปี 2497 (ก่อนออกส.ค.1) ซึ่งพบว่าชาวเลกลุ่มนั้นยังมีชีวิตอยู่บางส่วนและพยานหลักฐานอื่นๆซึ่งได้นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาเสนอต่อศาลจังหวัดภูเก็ตเพื่อให้ศาลได้พิจารณาให้ความเป็นธรรมโดยชาวเลราไวย์ได้ขอรับการสนับสนุนทนายความจากกองทุนยุติธรรมผ่านยุติธรรมจังหวัดภูเก็ต