จับแล้ว 1เจ้าของร้านส้มตำที่กะรน ปล่อยให้คนนั่งกินเบียร์ในร้าน พร้อมเสนอผู้ว่า  5 ข้อ หยุดโควิด

กำนันตำบลกะรน จ.ภูเก็ต นำทีมจับหนุ่มเจ้าของร้านส้มตำ ในพื้นที่ ปล่อยให้ลูกค้านั่งดื่มเบียร์ในร้าน แจ้งข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคโรคติดต่อ พร้อมเผยยื่น 5 ข้อเสนอผู้ว่า ฯ หยุดโควิด ระบาด

จากกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดทำให้จังหวัดภูเก็ตมีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมแล้วจำนวน 75 ราย สำหรับมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดทางจังหวัดโดยคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ได้ออกประกาศ จังหวัดภูเก็ตฉบับที่ 6 เรื่องปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ซึ่งรวมถึงการห้ามไม่ให้มีการนั่งรับประทานอาหารในร้าน สามารถซื้อกลับไปได้นั้น

อย่างไรก็ตามเพื่อให้เป็นไปตามประกาศดังกล่าวทางนายวินัย ชิดเชี่ยว กำนันตำบลกะรน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กะรน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยภายในพื้นที่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีร้านขายส้มตำ บริเวณถนนปฏักปล่อยให้ลูกค้านั่งดื่มเบียร์ที่ร้าน จึงเข้าตรวจสอบและจับกุมเจ้าหน้าของ ดำเนินคดีในข้อหา ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคโรคติดต่อ ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน ดำเนินคดี ต่อไป

นายวินัย กล่าวว่า การจับกุมกรณีดังกล่าวเป็นการจับกุมเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการป้องปรามและอยากให้ทุกคนร่วมมือกันป้องกันและหยุดยั้งการแพร่ระบาด ซึ่งในส่วนของตำบลกะรน ได้มีการตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา ตำบลกะรนขึ้น โดยมีนายกเทศบาลตำบลกะรน เป็นประธาน มีตนเป็นรองประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมากร ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประชุมร่วมกันถึงมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาด

และ มีการทำหนังสือเพื่อเสนอทางจังหวัด โดยผ่านทางนายอำเภอเพื่อเสนอมาตรการในการดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาด และ อยากให้จังหวัดออกประกาศจังหวัดเพื่อควบคุมโรคให้ได้ผล เช่นการบังคับให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ออกจากบ้านหรือที่พักจะต้องใส่หน้ากากทุกคน รถแท็กซี่หรือรถตู้ซึ่งเป็นรถที่ปิดมิดชิด มีการใช้หลังคาร่วมกันกับคนขับควรจะให้หยุดบริการก่อนในช่วงนี้  นอกจากนั้นบ้านทุกหลังจะต้องปิดบ้านตัวเองโดยเจ้าหน้าที่เข้าฉีดพ่นฆ่าเชื้อทุกหลัง และสุดท้ายจะต้องคัดกรองคนทุกคนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต

เชื่อว่าถ้าทำได้จะทำให้เราทราบห้วงระยะเวลาในการควบคุมโรคและสามารถหยุดโรคระบาดได้ภายในกี่วัน กี่เดือน การปิดเส้นทางเข้าออกเป็นมาตรการที่ดี แต่หลังจากที่ห้ามคนภายนอกเข้ามาได้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องมาเร่งจัดการภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม