จับมือจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสม พิสูจน์สายพันธุ์ “เลพัง”

โพสเมื่อ : Friday, September 8th, 2017 : 4.56 pm

วางแผนจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสม กรมอุทยานฯ ร่วม กรมประมง มหาวิทยาลัยมหิดลและเกษตรศาสตร์ พิสูจน์สายพันธุ์ “เลพัง” จระเข้ที่จับได้ในขุมน้ำหน้าหาดเลพัง จ.ภูเก็ต ดำเนินการ เก็บตัวอย่างเลือด เซลล์เยื่อบุ ตรวจดีเอ็นเอ หากเป็นจระเข้น้ำเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติในทะเลจุดไหนจุดหนึ่งที่มีประวัติจระเข้อาศัยอยู่ หากเป็นลูกผสมจะต้องอยู่ในบรรยากาศกึ่งธรรมชาติ รู้ผลอีก 1-2 สัปดาห์

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (8 ก.ย.) ดร.ปิ่นศักดิ์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์ พร้อมด้วย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณะบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายมนตรี สุมนฑา นักวิชาการประมงชำนาญการ (ผู้เชี่ยวชาญสัตว์เคลื่อนคลาน) กรมประมง สัตว์แพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล นายไพบูลย์ บุญลิปตานนท์ ประมงจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางมายังศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 5 (ภูเก็ต) เพื่อพิสูจน์ว่าจระเข้ตัวดังกล่าว (เลพัง) ที่จับได้บริเวณขุมน้ำหน้าหาดเลพัง เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา และนำมาเลี้ยงไว้ที่ศูนย์ฯ เป็นจระเข้สายพันธุ์น้ำเค็มแท้ หรือสายพันธุ์ผสม พร้อมทั้งมีการตรวจสภาพร่างกายทั่วไป เก็บข้อมูลทางชีวภาพ ตรวจหาตำหนิและไมโครชิพ เก็บตัวอย่าง เลือด เซลล์เยื่อบุ อุจจาระ รวมไปถึงตรวจเพศ และตรวจเชื้อโรคติดต่อ

โดยขั้นตอนการตรวจในวันนี้ เริ่มจากชุดไกรทอง แหล่งลุ่มน้ำตาปี จ.สราษฎร์ธานี ในสังกัดศูนย์ปราบปรามและป้องกันการทำประมงน้ำจืดภาคใต้ สุราษฎร์ธานี นำโดยนายนิคม สุขสวัสดิ หัวหน้าชุดฯ ได้ลงไปจับจระเข้เพื่อให้สัตว์แพทย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ลงไปตรวจวัดความยาว ได้ 2.87 เมตร ตรวจค้นหาไมโครชิพ ปรากฏว่าไม่พบ จึงได้ฝั่งไมโครชิพไว้ที่บริเวณโคนหางด้านช้าย เก็บตัวอย่างเลือด และเซลล์เยื่อบุ เพื่อนำไปตรวจหาอีเด็นเอ ในการพิสูจน์ว่าจระเข้ตัวดังกล่าวเป็นสายพันธุ์น้ำเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือ ว่าเป็นสายพันธุ์ผสม ซึ่งในขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะทราบผล ตรวจหาเพศพบว่าเป็นเพศผู้ ร่วมทั้งตรวจสุขภาพโดยรวม ทำให้ทราบว่าจระเข้ตัวนี้มีสุขภาพแข็งแรงดี

การตรวจหาดีเอ็นดี เพื่อที่ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนที่จะดำเนินการกับจระเข้ตัวดังกล่าว หากพบว่าเป็นจระเข้น้ำเค็มร้อยเปอร์เช็นต์ ก็จะต้องปล่อยสู่ธรรมชาติ และหากเป็นจระเข้ลูกผสมก็จะต้องดำเนินการหาที่อยู่ที่เป็นกึ่งธรรมชาติ เพราะจระเข้ไม่สามารถที่จะอยู่ในบ่อเลี้ยงดังกล่าวได้ตลอดไป จะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมกับจระเข้และปลอดภัยสำหรับประชาชนด้วย

อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีการกังวลกันว่าจระเข้มีความเครียดที่ถูกนำมาขังไว้ในบ่อไม่ยอมกินอาหารนั้น เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า ในช่วงแรกที่นำมาขังไว้ทางเจ้าหน้าที่ได้นำชีโครงไก่และปลาตายมาโยนให้ไม่ยอมกินอาหารจนถึงขณะนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะจระเข้จะกินอาหารสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้นขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไป และบางตัวกินอาหารครั้งหนึ่งอยู่ได้เป็นเดือน โดยเจ้าหน้าที่จะเริ่มให้อาหารที่เป็นปลามีชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นอาหารในธรรมชาติของจระเข้น้ำเค็ม

ดร.ปิ่นศักดิ์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า วันนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกรมอุทยานฯ กรมประมง มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเดินทางมาตรวจพิสูจน์สายพันธุ์ของจระเข้ตัวดังกล่าว และตรวจสุขภาพ รวมทั้งอื่นๆ โดยวัดความยาวได้ 2.87 เมตร เป็นเพศผู้ มีสุขภาพแข็งแรงดี การการพิสูจน์สายพันธุ์นั้น ได้มีการเก็บตัวอย่างเลือดและเซลล์เยื่อบุ ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะทราบผลภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบสภาพร่างกายเป็นจระเข้น้ำเค็ม แต่เพื่อให้รู้ว่าเป็นจระเข้น้ำเค็มร้อยเปอร์เช็นต์ หรือพันธุ์ผสมกันจะต้องรอผลการตรวจดีเอ็นเอต่อไป

ดร.ปิ่นศักดิ์ กล่าวเพิ่มว่า เมื่อเราทราบสายพันธุ์แล้ว ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้วางแผนต่อไปว่าที่อยู่ที่เหมาะสมของจระเข้ตัวนี้จะอยู่ไหน ถ้าเป็นเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ต้องปล่อยสู่ธรรมชาติ ส่วนจะเป็นบริเวณใดของทะเลอันดามันจะต้องมีการศึกษากันอีกครั้ง แต่จะต้องเป็นจุดที่ประวัติว่าเคยมีทะเลอาศัยอยู่ และจะต้องเป็นความเห็นชอบของคนในพื้นด้วย

ด้าน ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณะบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อทราบสายพันธุ์ที่ชัดเจนแล้วจะทำให้ทราบได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรในการหาที่อาศัยให้จระเข้ อยากเสนอว่าหากเป็นสายพันธุ์ผสม จะต้องหาที่อยู่ที่เป็นบ่อขนาดใหญ่เนื้อที่ 5-10 ไร่ เพื่อให้จระเข้อยู่ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนจะเป็นจุดนั้นให้ขึ้นอยู่กับทางจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการติดสัญณาณที่จระเข้ด้วยเพื่อให้ทราบจุดที่อยู่ หากเป็นพันธุ์น้ำเค็มร้อยเปอร์เช็นต์จะต้องปล่อยสู่ธรรมชาติ ซึ่งในทะเลอันดามันมีพื้นที่อุทยานที่อยู่ห่างไกลชายฝั่งและไม่คนอาศัยอยู่หลายพื้นที่ น่าที่จะเป็นที่อยู่ของจระเข้ได้อย่างปลอดภัยและคนก็ปลอดภัยด้วย ในระยะอันใกล้นี้ อยากทางกรมประมงหาบ่อเลี้ยงที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ก่อน เพื่อให้จระเข้อยู่ในบรรยากาศที่ดี

ดร.ธรณ์ กล่าวเพิ่มว่า การพบเจ้าเลพังจระเข้น้ำเค็มในครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาสนใจจระเข้น้ำเค็มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จากเดิมที่เราไม่มีข้อมูลจระเข้น้ำเค็มในธรรมชาติแล้ว และทำให้เราได้ทราบว่าคนไทยหันมาสนใจสัตว์ดุร้ายในธรรมชาติมากขึ้นและไม่ต้องการทำร้ายสัตว์เรานั้น แต่จะหาวิธีในการป้องกันให้สัตว์เรานั้นอยู่ในธรรมชาติของมันได้ การพบจระเข้น้ำเค็มตัวนี้น่าที่จะเป็น “เลพังโมเดล”ได้ เพื่อนำไปใช้หากเราพบจระเข้น้ำเค็มอีกว่าจะต้องดำเนินการในลักษณะแบบใด