มาแล้ว เที่ยว กิน ตอนที่ 3
โพสเมื่อ : Sunday, September 4th, 2016 : 8.40 pm
เที่ยวไป กินไป ตอนที่ 3 “บาน่า ฮิลส์ ดินแดนมหัศจรรย์”
โดย ภูริต มาศวงศ์ศา
วันที่ 27 พฤษภาคม 2559 วันนี้เราต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะเราต้องเดินทางไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่อ บาน่า ฮิลส์ ดินแดนมหัศจรรย์แห่งเมืองดานัง หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย ได้เวลา 08.00 น. เราก็โบกมือบอกลาโรงแรม Le Residence Danang ด้วยความประทับใจ
อากาศเช้าวันนี้แจ่มใสมากครับ การเดินทางในวันนี้ ด้วยระยะทาง 108 กิโลเมตร จากเมืองเว้ ถึง เมืองดานัง บนทางหลวงหมายเลข 1 เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และหลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไปกับธรรมชาติอันแสนจะงดงามของความเป็นชนบทที่ทำการเกษตร มองเห็นความเขียวขจีของพืชผักผลไม้ตามรายทาง เราก็จอดแวะพักระหว่างทางที่ร้านขายมุก เพื่อชมการสาธิตการเลี้ยงมุกเซ้าท์ซี (South sea pearl) ซึ่งก็เหมือนกับภูเก็ตที่เราเลี้ยงกันบริเวณเกาะนาคา จากนั้น เราก็เดินทางต่อเพื่อเข้าสู่เขตเมืองดานัง บนเส้นทางนี้ เราจะต้องผ่านอุโมงค์ทางลอดภูเขาที่มีความยาว 6.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเอเชียชื่อว่า “Hai Van Pass” หรือ ทางลอดไห่เหวิน ที่เจาะทะลุภูเขาขนาดใหญ่ถึง 3 ลูก เริ่มสร้างเมื่อปี 2000 แล้วเสร็จเมื่อปี 2005 เปิดใช้งานมาแล้วเป็นเวลา 11 ปี และไก๊ด์รูปหล่อของเราก็ได้บรรยายว่า รัฐบาลกำลังจะสร้างอุโมงค์ทางลอดเข้าอีกแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ มีระยะทางยาว 12 กิโลเมตร ฟังแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจเมื่อคิดถึงบ้านเรา งบประมาณทุกอย่างถมลงตรงที่เมืองหลวงของประเทศโดยไม่คิดจะกระจายการพัฒนาสู่เมืองรองเลย รถไฟฟ้ามีกี่สายก็ทุ่มงบสร้างกันในเมืองหลวง ในขณะที่เมืองรองหรือเมืองเล็ก ถนนยังคงเป็นลูกรังกันอยู่เลย ขออนุญาตบ่นเล็กน้อยนะครับ
เมื่อเราเดินทางมาถึงชานเมืองดานัง บนเส้นทางก่อนที่จะไปชมดินแดนมหัศจรรย์ บาน่า ฮิลส์ (Bana Hills) คณะของเราก็ได้แวะชมสนามกอล์ฟ บาน่า ฮิลส์ กอล์ฟคลับ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟที่ออกแบบโดย ลูค โดนัลด์ โปรกอล์ฟระดับโลกที่สนใจในการออกแบบสนามกอล์ฟ ทำให้สนามกอล์ฟมีความสวยงามและองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เค้าตั้งใจ ที่จะจะให้สนามกอล์ฟแห่งนี้เป็นสนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในเอเชีย ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องกลับมาเล่นกอล์ฟที่สนามแห่งนี้ให้ได้ ในอนาคตอันใกล้นี้
จากนั้น เราก็เดินทางมายังสถานีรถกระเช้าที่จะขึ้นไปยังยอดเขาบาน่า ซึ่งกระเช้าจะแบ่งแยกเป็น 2 สถานี สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปจะอยู่ด้านล่างและสำหรับนักท่องเที่ยวที่จองห้องพักค้างคืนบนบาน่า ฮิลส์ ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศเวียตนาม ที่มาช่วยดูแลคณะของเรา ชื่อคุณเหงียน ฉี สุภาพสตรีสาวสวยที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในคณะต่างหลงใหลในตัวเธอ ถึงขั้นแย่งจองพื้นที่ในหัวใจกันเลยทีเดียว เมื่อเราถึงสถานีที่ 2 สำหรับแขกของโรงแรม ก็ได้รับการต้อนรับจากผู้จัดการใหญ่ของโรงแรม French Village Bana Hills Resort คอยต้อนรับคณะของเราอยู่แล้ว และนำขึ้นกระเช้าไฟฟ้าเพื่อเดินทางสู่ยอดเขาบาน่า ฮิลส์ ซึ่งมีระยะทางยาวที่สุดในโลก 5,801 เมตร จากบันทึกสถิติของ กินเนสต์ บุ๊ค
คุณอ้อย จากเว็บไซต์ Cultures & Creatures ได้อธิบายไว้ว่า “บานา ฮิลส์ อยู่ห่างจาก เมืองดานัง ประมาณ 40 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองดานัง มักจะต้องแวะมาเที่ยวที่นี่ด้วยเสมอ บานา ฮิลส์ เป็นเมืองตากอากาศแห่งสำคัญของเวียตนามตอนกลางมากว่าร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เวียตนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1894 ข้าหลวงฝรั่งเศส มีแนวคิดริเริ่มที่จะสร้างสถานที่พักผ่อนบนเขาให้กับชาวฝรั่งเศสรวมทั้งทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น จนปี ค.ศ. 1901 จึงค้นพบและเลือกภูเขาบานาแห่งนี้ เพื่อสร้างเป็นที่พักตากอากาศสำหรับชาวฝรั่งเศส เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศดี และอากาศเย็นสดชื่น จึงเริ่มมีการพัฒนาตัดถนนขึ้นสู่ยอดเขา จนเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1919 แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ชาวฝรั่งเศสไม่สามารถเดินทางกลับประเทศตนเองได้ จึงเริ่มมีการสร้างวิลล่าขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตามด้วยโรงแรม รีสอร์ต และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในสมัยนั้น จนถึงปี ค.ศ. 1945 เมื่อทหารฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงคราม และถอนตัวออกจากเวียดนาม ชาวท้องถิ่นเวียดนามที่เคยทำงานตามรีสอร์ตและโรงแรมบนเขา ต่างอพยพกลับภูมิลำเนา ทำให้เมืองท่องเที่ยวที่สวยสดงดงามแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไปอย่างน่าเสียดาย
หลังสงครามเวียตนามอันโหดร้ายผ่านพ้นไปไม่กี่สิบปี เวียดนามก็เริ่มพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงด้านการท่องเที่ยว บานา ฮิลส์ จึงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จากเดิมที่คนต้องนั่งรถขึ้นสู่ยอดเขาโดยถนนแคบๆ ลมแรง และใช้เวลานานถึง 55 นาที ก็มีการสร้างกระเช้าไฟฟ้าซึ่งใช้เวลาจากตีนเขาสู่ยอดเขาเพียง 15 นาที Bà Nà Hills Cable Car เริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2009 สร้างขึ้นตามมาตรฐานยุโรปโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงจากออสเตรเลีย เครื่องมือและเครื่องจักรนำเข้าจากยุโรป ตลอดเส้นทางประกอบไปด้วยเสา 24 ต้น มีทั้งหมด 94 กระเช้า ซึ่งมีทั้งแบบ open air และแบบห้องกระจก แต่ละกระเช้าจะบรรทุกผู้โดยสารได้ 10 คน และภายในหนึ่งชั่วโมง สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,500 คน ค่าก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าแห่งนี้ ช่วงแรกมีมูลค่า 17.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนช่วงที่สร้างต่อเพิ่มไปถึงยอดเขา มีมูลค่า 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐ” (ข้อมูลจาก: http://www. culturedcreatures.co/ vietnam-ba-na-hill-cable-car/สืบค้นเมื่อ.10.07.2016)
เมื่อเราเดินทางถึงยอดเขา ที่ระยะความสูง 1,467 เมตร ผมตื่นตะลึงกับความงดงามของทัศนียภาพและอากาศที่เย็นพอสมควร คุณฉี บอกกับเราว่าอุณหภูมิเฉลี่ยบนเขาบาน่าแห่งนี้อยู่ที่ 15 – 20 องศาเซลเซียส ตลอดปี นอกจากสวนดอกไม้ที่สวยงาม ลานอเนกประสงค์ กับพาเหรดตัวตลกแล้ว Fantasy Park ยังเป็นจุดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวแบบครอบครัวที่ต้องการความสนุกสนานจากเครื่องเล่นแบบสวนสนุกที่มีให้บริการ ซึ่งวันที่คณะเรามาเยือนนั้น มีนักท่องเที่ยวชาวจีนและเวียตนามเอง แห่แหนกันมาเที่ยวจนทำให้สถานกว้างใหญ่ดูแคบไปถนัดตาเลยทีเดี่ยว
คุณฉี และ ผู้จัดการทั่วไปของ French Village Bana Hills Resort นำคณะเราไปเยี่ยมชมโรงแรมที่ตั้งอยู่บนเขาแห่งนี้ มีห้องพักรวมทั้งหมด 494 ห้อง แบ่งเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ standard, superior, deluxe, executive suite, family suite และ royal suite ตกแต่งแบบยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้ห้องพักเหล่านี้ดูคลาสิคมากๆ จากโรงแรม พวกเราก็เดินไปมนัสการพระศรีศากยะมุนี พระพุทธองค์ใหญ่สูงตระหง่านอยู่บนยอดสูงสุดของเขาบาน่า จากนั้น คุณฉีและจีเอ็ม ก็นำเราไปรับประทานอาหารกลางวัน ที่ Buffet Club ซึ่งเป็นห้องอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ที่ให้บริการทั้งอาหารยุโรปและเอเชีย เหมือนการบริการอาหารในภัตตาคารของโรงแรมโดย ทั่วไป อาหารก็อร่อยตามมาตรฐานโรงแรมแต่ไม่มีอะไรที่เด่นเป็นพิเศษ แต่มีร้านอาหารอีกหลายร้าน ทีให้บริการอยู่ด้านนอกบริเวณลานน้ำพุ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น BBQ และ Fast Food สลับกับร้านกาแฟ ซึ่งมีเพียงพอที่จะให้บริการคนหลายร้อยคนได้ในเวลาเดียวกัน
เราใช้เวลาอยู่บนยอดเขาจนถึงเวลา 15.30 น. จึงได้เดินทางกลับลงมายังสถานีกระเช้าไฟฟ้าตีนเขา เพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวไทย นั่นคือ “ฮอยอัน” เมืองมรดกโลกอันเก่าแก่ ที่มีสีสันต์และยังคงความมีเสน่ห์มาจนปัจจุบันจนใครๆก็หลงรักเห็น และเราจะไปพิสูจน์ความอร่อยของอาหารพื้นเมืองเวียตนามกันที่ “ฮอยอัน ฉันก็รักเธอ เหมือนกัน” ในตอนหน้าซึ่งจะเป็นตอนที่ 4 ครับ
จากการเดินทางที่ผ่านมาในช่วงเช้า ผมย้อนกลับไปนึกถึงภาพของอุโมงค์ ไห่เหวิน ระยะทางยาว 6.8 กิโลเมตร ที่รัฐบาลญี่ปุ่นออกทุนให้สร้าง แล้วนึกถึงอุโมงค์ทางลอดเขาป่าตองของเราที่ภูเก็ต ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้สร้างเสียทีนะครับ เมื่อเปรียบเทียบกัน ในขณะที่การพัฒนาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเวียตนามกำลังเจริญรุดหน้า แต่เค้าก็ยังสามารถอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างอันมีคุณค่าเก่าแก่ไว้ได้ จนได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกหลายต่อหลายแห่ง แต่พอหันกลับมามองบ้านเรา “การพัฒนา” หมายถึงการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอันทรงคุณค่าและสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาที่ไม่จีรัง และในที่สุดก็เสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งาน ซึ่งพอหมดประโยชน์แล้วก็ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษา กลายเป็นว่า การที่เรานำทรัพยากรของลูกหลานในอนาคตมาผลาญพล่ากันในยุคเราอย่างไม่รู้คุณค่า ทำให้ยากที่จะถามหาถึงสิ่งที่เรียกกันว่า “ความยั่งยืน” บนการพัฒนาที่มองแต่ประโยชน์ระยะสั้น เพราะไม่มองถึงความสมดุลของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ขาดการพึ่งพากันระหว่างผู้มีส่วนได้เสียในการสร้างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งควรจะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกันในสังคม จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน ผมจึงมองว่า เราควรจะหันมาใส่ใจในเรื่องของความเป็นปัจจุบันอย่างรู้และเข้าใจ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นอนาคตให้ลูกหลานเรา ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล พึ่งพา และยุติธรรม ต่อ สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กันเถอะครับ
- ภูเก็ตเปิดตัว 5 ชุมชนท่องเที่ยวใหม่ ชูอัตลักษ์ของแต่ละแห่ง พร้อมสร้างเส้นทางท่อง...
- สุขทันที..ที่เที่ยวพังงา ขับรถเที่ยวหน้าฝน “ตะลุยกินผลไม้ถึงสวน”...
- เที่ยวแหลมพรหมเทพ ต้องไม่พลาด ของดีของหรอย กับ งาน “วิถีราไวย์”...
- พร้อมกันแล้วยัง สร้างเมืองให้เป็นสีรุ้ง รับจัดงาน “Discover Phuket Pride 2024 @...
- มุมมหาชน “อควาเรียภูเก็ต”...
- พบกับ โชว์นางเงือก ได้ทุกวัน ที่ “อควาเรียภูเก็ต”...
- September 2024 (6)
- August 2024 (33)
- July 2024 (36)
- June 2024 (34)
- May 2024 (38)
- April 2024 (38)
- March 2024 (46)
- February 2024 (37)
- January 2024 (37)
- December 2023 (41)
- November 2023 (33)
- October 2023 (30)
- September 2023 (53)
- August 2023 (53)
- July 2023 (41)
- June 2023 (46)
- May 2023 (48)
- April 2023 (50)
- March 2023 (59)
- February 2023 (61)
- January 2023 (59)
- December 2022 (63)
- November 2022 (64)
- October 2022 (69)
- September 2022 (56)
- August 2022 (59)
- July 2022 (41)
- June 2022 (49)
- May 2022 (60)
- April 2022 (50)
- March 2022 (49)
- February 2022 (40)
- January 2022 (39)
- December 2021 (56)
- November 2021 (51)
- October 2021 (44)
- September 2021 (26)
- August 2021 (31)
- July 2021 (20)
- June 2021 (20)
- May 2021 (17)
- April 2021 (4)
- March 2021 (16)
- February 2021 (20)
- January 2021 (5)
- December 2020 (16)
- November 2020 (18)
- October 2020 (20)
- September 2020 (21)
- August 2020 (15)
- July 2020 (23)
- June 2020 (14)
- May 2020 (8)
- April 2020 (64)
- March 2020 (97)
- February 2020 (48)
- January 2020 (74)
- December 2019 (54)
- November 2019 (49)
- October 2019 (41)
- September 2019 (51)
- August 2019 (61)
- July 2019 (70)
- June 2019 (73)
- May 2019 (81)
- April 2019 (72)
- March 2019 (63)
- February 2019 (70)
- January 2019 (77)
- December 2018 (71)
- November 2018 (84)
- October 2018 (82)
- September 2018 (60)
- August 2018 (88)
- July 2018 (136)
- June 2018 (95)
- May 2018 (99)
- April 2018 (89)
- March 2018 (70)
- February 2018 (83)
- January 2018 (79)
- December 2017 (77)
- November 2017 (87)
- October 2017 (90)
- September 2017 (79)
- August 2017 (111)
- July 2017 (106)
- June 2017 (97)
- May 2017 (77)
- April 2017 (64)
- March 2017 (74)
- February 2017 (62)
- January 2017 (104)
- December 2016 (103)
- November 2016 (106)
- October 2016 (103)
- September 2016 (110)
- August 2016 (132)
- July 2016 (153)
- June 2016 (95)
- May 2016 (124)
- April 2016 (57)
- August 2015 (1)
- June 2015 (2)
- May 2015 (9)
- April 2015 (1)
- March 2015 (2)
- February 2015 (1)