ชาวเลราไวย์ ยันไม่จับปลาในเขตอุทยาน แต่จอดเรือเพื่อรักษาอาการคนป่วยจากโรคน้ำหนีบเท่านั้น

โพสเมื่อ : Wednesday, January 10th, 2018 : 1.43 pm

ชาวเลราไวย์ ยันไม่จับปลาในเขตอุทยาน  แต่จอดเรือเพื่อรักษาอาการคนป่วยจากโรคน้ำหนีบเท่านั้น เหตุก่อนหน้านี้ดำน้ำลึกกว่า 30 เมตรเพื่อจับปลา จำเป็นต้องลงน้ำเพื่อปรับสภาพร่างกาย ขณะที่นายกราไวย์นัดคุยชาวเลย์ไม่ผิดพร้อมพาร้องขอความเป็นธรรม

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ส่วนตัวชื่อ Maitree Jongkraijug โพสต์ภาพชาวเลหาดราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และ ข้อความระบุ ว่า “ผมไม่คิดเลยว่าจะมีคดี ชาวเลราไวย์ ถูกจับกุมโดยอุทยานอีก. เมื่อมีการแจ้งกันใน ไลน์กลุ่มชาวเล ว่า “ชาวเลราไวย์ เจอน้ำหนีบ…จอดเรือในเขตอุทยาน. เพื่อหยุดปรับสมดุล โดยลงในน้ำอีกครั้ง ที่เขตอุทยาน และถูกจับดำเนินคดี” หลังจากนั้นชาวเลก็ได้การประกันตัว สำหรับความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (10 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายพิชิต บางจาก อายุ 43 ปี หนึ่งในชาวเลราไวย์ หรือชาวไทยใหม่ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถจับกุม พร้อมพวกอีก 5 คน กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนพร้อมด้วยเพื่อนชาวเลอีก 5 คน ได้เดินทางออกจากชายหาดราไวย์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา และไปถึงบริเวณทะเลเป้าหมายในพื้นที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา ในช่วงค่ำวันเดียวกัน หลังพักผ่อนก็ได้ลงดำน้ำหาปลาตามปกติ

 

กระทั่งกลางคืนของวันที่ 7 มกราคม 2561 นายทะนงศักดิ์ เกาะงาม รู้สึกอาการไม่ดี คล้ายกับเป็นโรคน้ำหนีบ ในขณะเดียวกันคนอื่นๆในกลุ่มเองก็มีอาการคล้ายๆกัน เนื่องจากในการดำน้ำจับปลาแต่ละครั้ง มีความลึกถึง 30 เมตร และ อยู่ในน้ำนานครั้งละประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินทางกลับ รุ่งเช้าของวันที่ 8 มกราคม ขณะที่แล่นเรือเข้าสู่เขตทะเลของ จ.ภูเก็ต และเมื่อมาถึงบริเวณหน้าหาดในทอน หลานชายบอกว่าอาการไม่ค่อยดีจึงได้หาจุดทิ้งสมอเรือ เพื่อให้หลานชายลงไปในน้ำ เพื่อปรับร่างกายบรรเทาอาการของน้ำหนีบ อีกครั้งตามวิธีการรักษาของชาวเล ที่ทำกันมาอย่างยาวนาน เพราะถ้ารอให้กลับไปถึงบ้านอาการอาคารอาจจะหนักจนรักษาไม่ได้ คนที่ป่วยอาจจะเสียชีวิตหรือเป็นอัมพาตได้ แต่อย่างไรก็ตามระหว่างที่หลานชายลงไปในน้ำ เพื่อปรับสภาพร่างกาย และ มีเพื่อนชาวเลอีก 2 คนลงไปข้างเรือ โดยบนเหลือมีกันอยู่ 3 คน ซึ่งตนกำลังปรุงอาหาร เพื่อรอหลานชายขึ้นมาจากน้ำก็จะได้รับประทาน เนื่องจากการเดินทางยังต้องเวลาอีกหลายชั่วโมง ขณะนั้นได้มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำเรือเข้ามาจอดเทียบ

เมื่อมาถึงก็ได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ และ สั่งให้หยุดการทำอาหาร พร้อมทั้งดึงตัวหลานชายที่อยู่ในน้ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สอบถามอะไร ซึ่งการดึงตัวหลานชายที่กำลังปรับสภาพร่างกาย ขึ้นมาอย่างรวดเร็วถือว่า ผิดหลักการในการขึ้นจากน้ำ เนื่องจากร่างกายจะปรับอุณหภูมิไม่ทัน และจะยิ่งทำให้อาการหนักขึ้น  อย่างไรก็ตามหลัง หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัวตนพร้อมด้วยพวก รวมทั้งสิ่งของที่อยู่บนเรือ ไปยังที่ทำการอุทยานฯ บนฝั่ง เพื่อสอบสวน ซึ่งในขณะนั้นพวกตนก็ยืนยันว่าไม่ได้จับปลาในเขตอุทยาน แต่เป็นการจับปลามาจากพื้นที่อื่น แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่เชื่อและนำตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ตนขอยืนยันว่า ไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปทำประมงในเขตอุทยานฯ เพราะรู้อยู่แล้วว่า มีความผิด เพียงแต่ต้องจอดเรือลอยลำและทอดสมอ เพื่อให้หลานชาย ซึ่งมีปัญหาจากการดำน้ำได้ปรับสภาพร่างกายเท่านั้น

 

ด้าน นายสนิท แซ่ฉั่ว ชาวเลราไวย์ ที่เดินทางไปให้กำลังใจผู้ที่ถูกควบคุมตัว  กล่าวว่า ตนได้แจ้งประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นไปยัง พลเอก สุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล ทราบแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการช่วยเหลือชาวเลที่ถูกจับกุม แต่เบื้องต้นทั้งหมดได้รับการประกันตัวเป็นการชั่วคราว โดยทาง นายวรวิทย์ สีสาคูคาม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ต.ไม้ขาว อ.ถลาง และ นายแพทย์วิชิต บุรพชนก แพทย์ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนสาคู ได้ใช้ตำแหน่งในการประกันตัวออกมา

โดยหลังจากนี้แนวทางในการสู้คดี ก็คงต้องมีการรวบรวมหลักฐาน เพื่อแสดงให้เห็นว่า กลุ่มชาวเลไม่ได้เข้าไปจับปลาในเขตอุทยานฯ แต่เป็นการนำผู้ป่วยด้วยโรคน้ำหนีบได้ลงน้ำเพื่อปรับสภาพร่างกาย ซึ่งจะต้องใช้ระดับความลึกของน้ำประมาณ 20 เมตร โดยในส่วนของนายทะนงศักดิ์ฯ นั้น ขณะนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ส่วนเด็กอายุ 14 ปี ก็ได้รับการประกันตัวแล้วเช่นกัน

 

ขณะที่ นายอรุณ โสฬส นายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ กล่าวว่า หลังจากตนทราบเรื่องดังกล่าวก็ได้นัดกลุ่มชาวเลมาพูดคุยและสอบเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อจะแจ้งให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตทราบ และร้องขอความเป็นธรรมให้กับชาวเลราไวย์ต่อไป