ไม่สำเร็จ รื้อบ้านชาวไทยใหม่ราไวย์ ยืนยันจะไม่ย้ายไปไหน

โพสเมื่อ : Thursday, February 23rd, 2017 : 6.33 pm

ชาวไทยใหม่ราไวย์ กว่า 200 คน รวมตัวรวมตัวทำแนวป้องกันเจ้าหน้าที่จากสำนักงานบังคับคดีเข้ารื้อบ้าน 2 หลังตามคำสั่งศาลฎีกา ขณะที่เจ้าของที่ดินเตรียมแจ้งความข้อหาบุกรุก หลังรื้อถอนไม่สำเร็จ ขณะที่เจ้าของที่ดินขอความเห็นใจยืนยันตนไม่ใช่นายทุกแต่ทำเพื่อปกป้องมรดกที่ตกทอดกันมา พร้อมถามต่อไปประเทศจะอยู่อย่างไรถ้ายังเอากฎหมู่มาอยู่เหนือ กฎหมาย

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (23 ก.พ.) เจ้าหน้าที่จากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต นำโดย นายชโนทัย สุขเพ็ญ และ นายธีรศักดิ์ เอียดชูทอง นิติกร สำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต นำกำลังเข้าดำเนินการรื้อถอนบ้านของชาวไทยใหม่ จำนวน 2 หลัง คือ นายมะเหร็น บางจาก เลขที่ 123/5 ม.2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และ บ้านของนายอนัน บางจาก เลขที่ 131 ม.2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งทั้ง 2 เป็นชาวไทยใหม่หรือ (ชาวเลราไวย์) หลังจากถูก นายสุเทพ มุขดี และนายทวี มุขดี เจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่  92823  เป็นโจทย์ยื่นฟ้องขับไล่เจ้าของบ้านเลขที่ดังกล่าวทั้ง 2 หลังเมื่อต้นปี พ.ศ. 2552  ซึ่งมีการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมยืดเยื้อกันมากเกือบ 8 ปี สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ให้ นายสุเทพ มุขดี และนายทวี มุขดี โจทย์ เป็นฝ่ายชนะคดี เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2558  และ ให้สำนักงานบังคับคดีเข้ารื้อถอนบ้านทั้ง 2 หลังภายในวันนี้ (23 ก.พ.)

 

โดยตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ( 23 ก.พ.) ได้มีกลุ่มชาวเลหาดราไวย์ หมู่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กว่า 200 คน ได้พากันมานั่งปิดล้อมพื้นที่รอบๆ ตัวบ้าน ทั้ 2 หลัง เพื่อขัดขวางไม่ให้มีการเข้ารื้อถอน พร้อมทั้งมีการชูพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่บริเวณประตูและฝาพนังข้างบ้านและชูเหนือศีรษะ ทุกคน และจะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนโดยเด็ดขาด ในส่วนบรรยากาศของบ้านนายสุเทพ มุขดี – นายทวี มุขดี ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 5 เมตร มีการตั้งเต็นท์สีฟ้าขนาดใหญ่ไว้ที่หน้าบ้าน มีกำลังชายฉกรรจ์หลายคน ซึ่งเตรียมพร้อมไว้สำหรับการรื้อถอนบ้านทั้งสองหลัง ในระหว่างนั้นมีการโต้เถียงกันตลอดเวลา จนกระทั่งเจ้าของที่ดินได้นำชายฉกรรจ์จะเข้าไปรื้อถอนบ้านก็ถูกชาวไทยใหม่ที่เป็นผู้หญิงมาขัดขวางไม่ยอมให้มีการรื้อถอน ซึ่งทางฝ่ายเจ้าของที่ดินเกรงว่าจะมีการปะทะ จึงมีการยกเลิกการรื้อถอนออกไปก่อน

โดยการรื้อถอนในครั้งนี้ พ.ต.ท.ปริญญา ตัณฑสุวรรณ รองผกก.(ป.)สภ.ฉลอง เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ  เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอและจังหวัด เจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ชรบ. อปพร.และเทศกิจเทศบาลตำบลราไวย์ กว่า 50 คน ร่วมลงพื้นที่ดูแลความสงบเรียบร้อย เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกัน

 

นายสุเทพ มุขดี เจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว เปิดเผยว่า เดิมที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของบิดาของตนก็ได้มีการมอบเป็นมรดกให้ลูกๆ และมีการครอบครองกันมาเรื่อยๆ ต่อมาได้มีชาวไทยใหม่เข้ามาขอเช่าพื้นที่ และสัญญาปีต่อปี ต่อมาพบว่าชาวเลอยู่แบบไม่เป็นระเบียบ และสกปรก มีการถ่ายอุจจาระเรี่ยราด เต็มหน้าบ้านของตน ขยะเต็มหน้าบ้าน จึงยกเลิกสัญญาเช่า ก็มีปัญหากันมาตลอด จนกระทั่งปี 2552 ตนและน้องชาย ก็มีการฟ้องขับไล่ให้นายมะเหร็น และนายอนัน บางจาก (ผู้เช่า) ออกจากพื้นที่ ต่อสู้กันมาตามกระบวนการยุติธรรม ต่อมาศาลฎีกา ได้พิพากษาให้นายมะเหร็น และนายอนัน ผู้เช่าออกจากพื้นที่ กรมบังคับคดีก็ได้มาติดหมายบังคับคดีครั้งแรกวันที่ 21 ก.ค.2559 แต่ในครั้งนั้นก็เลื่อนมา

จนกระทั่งวันนี้เมื่อจะมีการรื้อถอนให้ออกจากพื้นที่ก็มีการขัดขวาง ไม่ยอมออก จนไม่สามารถรื้อถอนได้ หลังจากนี้จะนำภาพถ่ายผู้ที่เข้ามาขัดขวางทั้งหมดไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง เพื่อดำเนินคดีกับผู้ขัดขวาง 2 ข้อหา คือ บุกรุกที่ดินฯ-ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ฯ ซึ่งอยากถามกลับไปว่าบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไรเมื่อคนไม่ทำตามกฎหมาย แม้นว่าศาลตัดสินถึงที่สุดแล้วก็จะเอามวลชนเข้ามาขัดขวางแบบนี้ อยากขอความเห็นใจทุกฝ่ายด้วย ว่าเราไม่ใช่นายทุน นี่คือที่ดินมรดกของบรรพบุรุษ แต่กลับมีคนมาบุกรุก ศาลตัดสินก็ไม่ยอมรับ เอากฎหมู่มาเหนือกฎหมาย แล้วต่อไปบ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร

 

“ขอยืนยันว่า โฉนดที่ตนถือครองอยู่นั้นตนได้มาถูกต้องตามกฎหมาย เป็นมรดกตกทอดจากบิดา มารดา ส่วนการรื้อถอน หากเขายังเพิกเฉย ขัดขวางไม่ให้มีการรื้อถอน ก็จะยึดกฎหมายเป็นหลัก หากกฎหมายบังคับไม่ได้ ต่อไปโฉนดจะมีคุณค่าอะไร”

ด้าน นายเสทือน มุขดี ประธานสภาวัฒนธรรม ตำบลราไวย์ น้องชายของนายสุเทพ มุขดี กล่าวว่า ถ้าการรื้อถอนไม่จบในวันนี้ ตนก็จะเดินหน้าต่อไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยจะเข้าแจ้งความจับกุมชาวบ้านทุกคนที่เข้ามาในพื้นที่ของพี่กับน้องชาย ในข้อหาบุกรุก และจะร้องเรียนไปถึงนายกรัฐมนตรี และแจ้งศาลต่อไป สำหรับกลุ่มชาวบ้านที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่เพื่อขัดขวางการรื้อถอนของเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ญาติของเจ้าของบ้าน เป็นการละเมิดพื้นที่ เจ้าของที่ดินเคยพูดคุยกับผู้เช่าทั้งสองรายด้วยดี ตั้งแต่ศาลชั้นต้น และมีค่าใช้จ่ายให้ หากยอมย้ายออกไป แต่ก็ยังไม่ยอม ก็ต้องดำเนินการต่อไป ถ้ายังอยู่อย่างนี้ บ้านเมืองจะอยู่อย่างไร ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เราไม่ได้รังแกเขา แต่เขารังแกเรา” นายเสทือนกล่าว

 

ในส่วน นางสาวขวัญใจ บางจาก บุตรสาวของ นายอนัน บางจาก เจ้าของบ้านเลขที่ 131 ม.2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึงความรู้สึกที่มีการรื้อถอนบ้าน ว่า ถ้าเจ้าของที่มาขับไล่ก็จะไม่ไป ยืนยันว่าจะอยู่ที่ดินดังกล่าว เพราะว่าไม่มีที่อยู่ และต้องการที่อยู่ที่บริเวณนี้และตายที่บริเวณนี้เพราะเกิดบริเวณที่นี้ เนื่องจากครอบครัวพ่อแม่ทำหากินอยู่บริเวณดังกล่าวมายาวนาน และตนยังยืนว่าจะอยู่ที่บริเวณดังกล่าวเพราะตั้งแต่เล็กจนโตมาขนาดนี้แล้วทางเจ้าของที่จะขับไล่ก็จะไม่ออกจากพื้นที่และจะสู้ไม่ยอมให้เจ้าของที่มารื้อถอนบ้านอย่างแน่นอน เพราะภายในบ้านอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ประมาณ 19 คน ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ลูกๆ หลานๆ โดยทุกคนทำมาหากินสุจริต

ด้าน นางสาวจุรี กระแสชลธาร ภรรยา นายอนัน บางจาก กล่าวว่า สมัยก่อนบ้านที่อยู่อาศัย ณ ปัจจุบันได้อยู่ภายในป่าและถูกสร้างขึ้นมาเหมือนศาลาเก่าๆ โดยขณะนั้นไม่มีบ้านของคนอื่นๆ เลย หลังจากนั้นเมื่อปี 2502 พ่อของตนเองได้เจอกับน้องสาวเจ้าของที่บอกว่า ให้พ่อและลูกๆ มาอยู่อาศัยที่ดินดังกล่าวจนตายเลยไม่มีการขับไล่แต่อย่างใด และให้ถางป่าทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวดูแล้วไม่รกตา จากนั้นเมื่อตนมีครอบครัวและมีลูกทั้งหมดก็ได้อยู่บ้านหลังดังกล่าวมายาวนาน แต่ในที่สุดก็มีการขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ดังกล่าว แต่ตนยังยืนว่าจะไม่ยอมออกและไม่ให้เข้ารื้อถอนบ้านอย่างนอน เพราะถ้าถูกรื้อถอนแล้วคนในครอบครัวจะไปอยู่ที่ไหนกัน เนื่องจากจะไม่มีที่อยู่

 

ขณะที่ นายชโนทัย สุขเพ็ญ นิติกร สำนักงานบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ทางสำนักงานบังคับคดีได้ติดหมายในการรื้อถอน เมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 ที่ผ่านมา หลังจากติดหมายจะต้องรื้อถอนภายใน 8 วัน เพื่อให้แสดงอำนาจพิเศษถ้าไม่มีตรงนี้โจทย์สามารถมาแถลงให้สำนักงานบังคับคดีรื้อถอนเองได้ ซึ่งในวันนี้ได้มีการต่อต้านของชาวบ้านจึงเป็นเหตุให้การบังคับคดีดำเนินการไปได้ ส่งผลให้ไม่สามารถเข้ารื้อถอนบ้านทั้ง 2 หลังได้