รวบยกแก๊งบังคับเด็กเร่ขายน้ำมะพร้าวที่ภูเก็ต เข้าข่ายค้ามนุษย์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.จี้ต้องหมดทุกพื้นที่

โพสเมื่อ : Sunday, November 10th, 2019 : 4.29 pm

รวบยกแก๊งบังคับเด็ก เร่ขายน้ำมะพร้าวที่ภูเก็ต ยันทำผิดเข้าข่ายค้ามนุษย์  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจี้ทุกพื้นที่ต้องไม่มีการนำเด็กมาแสวงหาผลประโยชน์อย่างเด็ดขาด ยื่นยันปราบต่อเนื่อง

เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ ( 10  พ.ย.) พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวยศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ พ.ต.อ.วิทูร กองสุดใจ พ.ต.อ.เสริมพันธ์ สิริคง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.อโณทัย จินดามณี ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรกะทู้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สตรี ครอบครัว และป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ศพด.ส.ตร.) แถล่งการการจับกุมผู้ต้องหา คดีค้ามนุษย์ กรณีบังคับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เร่ขายน้ำมะพร้าว ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยมีนางสาวอัจฉรา สุระกุล หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.ภูเก็ต นายกิตติ อินทรกุล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ภูเก็ต เข้าร่วม ที่ห้องประชุมชั้น 3 สถานีตำรวจภูธรป่าตอง

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวยศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการจับกุมผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์แก๊ง “น้ำมะพร้าว” ว่า เมื่อ ต.ค.ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากฝ่ายปกครองว่ามีเด็กหญิงอายุประมาณ 10 -12 ปี มาเดินเร่ข่ายน้ำมะพร้าว บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองภูเก็ต หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ หลังจากนั้นได้เชิญเด็กไปสอบถามและแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม แต่ต่อมาได้มีข่าวการออกไปทางสื่อต่างๆว่ามีผู้ไปร้องเรียนกับสื่อมวลชน ว่า ทางเจ้าหน้าที่กักตัวเด็กที่พามาเร่ขายน้ำมะพร้าวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวน 5 คน ทั้งที่เด็กเหล่านั้นมาทำงานในช่วงปิดเทอมและหารายได้ แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม และ หลังจากมีข่าวออกไปตามสื่อต่างนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ และสั่งการให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง

หลังจากนั้นทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สตรี ครอบครัว และป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ ฯ ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และตำรวจในพื้นที่ร่วมกับสืบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา ที่นำเด็กมาเร่ขายน้ำมะพร้าว 5 คน เนื่องจากการสืบสวนพบว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ( 10 พ.ย.) ที่ จ.นครศรีธรรมชาติ เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวได้แล้ว และ ขณะนี้ชุดจับกุมกำลังนำผู้ต้องหาเดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต

 

อย่างไรก็ตามหลังจากมีข่าวดังกล่าว ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่เข้มงวดในการดำเนินปราบปรามการค้ามนุษย์ และนำเด็กมาขายของ หรือ ทำงาน ในพื้นที่ต่างๆ จึงได้สั่งการให้ทุกพื้นที่เข้มงวดปราบปราม ซึ่งนอกจากแก๊ง น้ำมะพร้าว แล้ว พบว่าในพื้นที่ยังมีผู้ปกครองนำเด็กมาเร่ขายของอีกหลายราย โดยเมื่อคืนที่ผ่านมามีการตรวจสอบพบหลายราย ประกอบด้วย แม่พาลูกมาขายดอกไม้ที่ร้านอาหาร ยายพาหลานมาเร่ขายผลไม้ , พ่อเลี้ยงพาลูกเลี้ยงมาขายพวงมาลัย, พี่น้องมาเร่ขายพวงมาลัย และ สุดท้ายเป็นชาวต่างชาติเร่ขายของ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการสอบสวนในเบื้องต้นยังไม่เข้าข่ายการค้ามนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่พ่อแม่เด็กมาก็จะพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กเข้าไปดำเนินการเพราะหน้าที่ของเด็กคือจะต้องเรียนหนังสือ แต่ถ้าเด็กต้องมาขายของดึกๆ เด็กก็ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เต็มที่จึงต้องนำ พ.ร.บ.เด็กมาใช้เพื่อแก้ปัญหาเด็กและครอบครัว

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ต่อไปนี้การนำเด็กมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการนำเด็กมาเร่ขายของ หรืออื่นๆ จะต้องไม่มีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พา หรือญาติพามาก็ตาม ถ้ามีการตรวจพบก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนกรณีบังคับเด็กมาเร่ขายของลักษณะเข้าข่ายการค้ามนุษย์จะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ใครพบเห็นสามารถแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ทันที

ส่วนกรณีเด็กเร่ขายน้ำมะพร้าว นั้น ขณะนี้ได้มีการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 4 ราย โดยจับได้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพฤติกรรมพาเด็กมาเร่ขายน้ำมะพร้าว จำนวน 5 คน ในแต่ละวันเด็กต้องทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมง และจากการพูดคุยกับเด็กพบว่าบางคนถูกทำร้ายและถูกบังคับให้ทำ ซึ่งเป็นการพาเด็กมาแสวงหาผลประโยชน์ จึงต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด และต่อไปนี้ในทุกพื้นที่จะต้องไม่มีเด็กถูกบังคับให้มาเร่ขายของอย่างเด็กขาด  ซึ่งกรณีพบว่าผู้ต้องหามีรายได้จากการขายน้ำมะพร้าวสูงถึงเดือนละ กว่า 1 แสนบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่สูงมาก แต่จ่ายให้เด็กวันละ 400 บาท ต่อคน ในขณะที่เด็กต้องทำงานวันละกว่า 16 ชั่วโมง ถึงเวลานอนเด็กกลับไม่ได้นอน ซึ่งเป็นการเอาเด็กมาแสวงหาประโยชน์อย่างชัดเจน

 

ส่วนกรณีอ้างว่าครอบครัวยากจนต้องส่งให้ลูกมาทำงาน พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะนำมาอ้าง หน้าที่การทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะต้องทำ แต่กลับโยนภาระนี้ให้กับเด็ก ทั้งๆที่หน้าที่ของเด็กคือการเรียนหนังสือ ถ้าหากมีปัญหาครอบครัวจริงๆ ก็สามารถที่จะเข้าไปหาหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความช่วยเหลือได้ การมาอ้างเรื่องความยากจนไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะงานมีเยอะแต่คนไทยไม่ทำ กลับเอาเด็กมาทำงานแทน

อย่างไรก็ตามนอกจากแก๊งน้ำมะพร้าวแล้ว ยังมีแก๊งอื่นๆอีกหลายแก๊งที่เอาเด็กมาแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง