มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตหนุนโครงการ “ดื่มแล้วขับ ถูกจับแน่” มอบเครื่องวัดแอลกอฮอล์

โพสเมื่อ : Friday, February 3rd, 2017 : 10.30 pm

 

 มูลนิธิกุศลธรรม สนับสนุน โครงการ “ดื่มแล้วขับ ถูกจับแน่” มอบเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จำนวน 34 เครื่อง ให้กับตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต  เพื่อไว้ใช้ในการตรวจจับคนที่มีเมาแล้วขับ และเพื่อต้องการลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรให้น้อยลง ขณะที่ผู้การ ระบุผลจากการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและเสียชีวิตจากคนที่เมาแล้วขับ ลดลง กว่า 10 %

เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (3 ก.พ.) นางเบญจวรรณ ตัมพานุวัตร ประธานมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต เป็นประธานมอบเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ จำนวน 34 เครื่อง ให้กับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต โดยมี พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ร่วมรับมอบ ณ ห้องประชุมสำนักงานใหญ่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต

นางเบญจวรรณ ตัมพานุวัตร ประธานมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต กล่าวว่า มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตได้ตอบแทนสังคมคนภูเก็ต โดยการมอบเครื่องวัดแอลกอฮอล์ให้กับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต โดยมี พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นผู้รับมอบ จำนวน 34 เครื่อง เป็นเงินจำนวน 1,056,000 บาท และนอกจากนี้ ทางมูลนิธิฯ ซึ่งได้ร่วมกับบริษัท เทคเอซ จำกัด ได้จัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจังหวัดภูเก็ต ด้วย

 

“ทางมูลนิธิฯ ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ตทุกคน ที่ได้ร่วมทำบุญกับทางมูลนิธิฯ จนได้มีเงินเข้ามาบริหารจัดการ สามารถช่วยเหลือสังคมได้ระดับหนึ่ง และขอบคุณคณะบริหารและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทำให้พี่น้องประชาชน เชื่อถือศรัทธาตัวตนของมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ถึงได้มีวันนี้ได้”

ด้าน พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับการรับมอบเครื่องตรวจ วัดปริมาณแอลกอฮอล์ ในครั้งนี้ ของทางมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต เป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ภายใต้โครงการ “ดื่มแล้วขับ ถูกจับแน่” ทั้งนี้ความเป็นมาของโครงการดังกล่าว เริ่มต้นจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้นค่อนข้างสูง สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต คือ เรื่องของการ ดื่มแล้วขับ ดังนั้นจึงได้เกิดภาคีเครือข่ายป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดภูเก็ตจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ในการเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนเป็นการสร้างความเชื่อมั่นตามมาตรการความปลอดภัยทางถนนของจังหวัดภูเก็ตด้วย

 

“จะทำอย่างไรให้คนที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วต้องไม่ขับรถ ทางภาคีเครือข่ายฯ จึงได้หารือร่วมกับทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต ในการนำเครื่องการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์มาใช้ ซึ่งปรากฏว่ามีไม่เพียงพอ เพราะเครื่องตรวจวัดฯ ดังกล่าวใช้ไปได้สักระยะหนึ่ง ก็ต้องส่งไปเทียบค่า การเทียบค่าในแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ ไม่มีเครื่องในการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เรื่องนี้ ทางนายแพทย์วิวัตน์ ศีตมโนชญ์ รองประธานแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) ก็พยายามประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงาน องค์กรต่างๆ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ได้ประสานขอไปยังมูลนิธิ Safer Roads Foundation ก็ได้รับการสนับสนุนมา 1 ชุด ประมาณ 39 เครื่อง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และทางนายแพทย์วิวัฒน์ ก็ได้มีการทาบทามมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ซึ่งทางมูลนิธิกุศลธรรมฯ เอง ก็ได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมานาน ซึ่งจะดูแลรับผิดชอบในส่วนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ โดยการไปช่วยเหลือคนเจ็บที่เกิดจากการเมามีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางมูลนิธิก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญตรงนี้ ในวันนี้ทางมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตจึงได้จัดซื้อและมอบเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จำนวน 34 เครื่อง”

 

พล.ต.ต.ธีระพล กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ต้องการที่จะจับกุมผู้ขับขี่รถ เพียงแค่ต้องการสร้างกระแสให้เกิดขึ้นกับคนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ให้มีความรู้สึกว่า ถ้าดื่มเหล้าแล้วต้องไม่ขับรถ เพราะจะไปเจอด่านตรวจและถูกตำรวจจับ ถ้าคนที่ดื่มเหล้าแล้วมีความรู้สึกแบบนี้ เขาก็จะไม่กล้าขับรถ ถ้าวันหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะมีเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จำนวนมาก ถ้าตรวจแล้วไม่พบคนเมาแล้วขับรถเลย จึงจะถือเป็นความสำเร็จของโครงการ ซึ่งการทำโครงการนี้ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน คนเมาที่ขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิต ลดลง กว่า 10 %  ซึ่งเราเชื่อว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วในอนาคต คาดว่าปี 2561จังหวัดภูเก็ต น่าจะลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุการจราจร ให้ต่ำกว่า 50% ซึ่งตรงส่วนก็จะเป็นมาตรการหนึ่ง ที่ทำให้ลดอัตราการตายได้