ที่ดินถลาง ยันระหว่างแนวโรงแรมกับทะเล มีที่นสล.กั้นกลาง แต่นทท.ปูเสื่อในเขตโฉนด

โพสเมื่อ : Monday, January 8th, 2018 : 6.18 pm

ที่ดินถลาง ยันระหว่างแนวเขตโฉนดของโรงแรมกับทะเล มีที่นสล.กั้นกลาง ส่งเจ้าหน้าที่รังวัดลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขต หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ค ไลฟ์สดภาพเหตุการณ์ขณะพนักงานโรงแรมไล่ให้นักท่องเที่ยวที่นำเสื่อมาปูบนชายหาดเพื่อพักผ่อน ออกจากเขตที่ดิน  ระบุจากการตรวจสอบจุดที่นักท่องเที่ยวปูเสื่ออยู่ในเขตโฉนดโรงแรมจริง แต่พื้นที่ติดกันก่อนถึงชายทะเลมีที่ นสล.กั้นตลอดแนว

กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียล อย่างกว้างขวางๆทันที หลังจาก ผู้เฟซบุ๊ค  “Aziz Yotharak” ได้แพร่ภาพสด หรือไลฟ์สดภาพเหตุการณ์ กรณีพนักงานโรงแรมชื่อดังเข้าไปบอกให้นักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช้แขกของโรงแรมที่นำเสื่อมาปุนั่งเล่นบนชายหาดกับครอบครัว ออกจากพื้นที่โดยอ้างว่าจุดที่นักท่องเที่ยวปูเสื่อเป็นเขตของโรงแรม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความมึนงงให้กับให้นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก รวมทั้งผู้ใช้เฟซบุ๊คที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าว พร้อมกับมีการตั้งคำถามว่า ชายหาดมีเจ้าของด้วยเหรอ ?

 

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้สั่งการให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยนายอำเภอถลาง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล และหน่วยงานอื่นๆ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เนื่องจากภาพดังกล่าวที่ออกไปได้สร้างผลกระทบและความเสียหายให้เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวโดยภาพรวมของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้นทั้ง นายกองโทอดุลย์ ชูทอง นายอำเภอถลาง และนายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริเวณส่วนตำบลเชิงทะเล พบว่าจุดที่นักท่องเที่ยวปูเสื่อเป็นจุดที่อยู่ในแนวเขตของโรงแรม แต่จากสภาพพื้นที่พบว่าเป็นชายหาดซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพื้นที่สาธารณะได้

ล่าสุดวันนี้ ( 8 ม.ค.) นายยงยุทธ กาญจนานุรักษ์ เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต สาขาถลาง กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า ในส่วนของสำนักงานที่ดินยังไม่สามารถลงไปรังวัดแนวเขตที่ในในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้ สำหรับการลงไปรังวัดแนวเขตนั้นจะต้องให้องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล และอำเภอถลาง ยื่นเรื่องขอรังวัดเข้ามาถึงจะดำเนินการได้

 

แต่อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุขึ้นในเบื้องต้นได้สั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่รังวัดของสำนักงานที่ดินสาขาถลาง ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเช่นกัน ซึ่งจุดที่เกิดเหตุนั้นเป็นพื้นที่ที่อยู่ในแนวเขตของโรงแรม แต่ด้านหน้าที่ดินของโรงแรมก่อนจะถึงทะเลก็จะมีที่ดิน นสล.หรือชายหาดสาธารณะตลอดแนวชายหาด

ส่วนกรณีการออกโฉนดที่ดินในแปลงดังกล่าวจากการตรวจสอบพบว่าเป็นการออกโฉนดโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ถัดโฉนดออกไป ก็เป็นที่หลวงที่มีการออกเป็นหนังสือสำคัญที่หลวง เลขที่ ภก.0015 เนื้อที่กว่า 17 ไร่ กันไว้ตลอดแนวชายหาดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกลงไปในทะเล จึงกันพื้นที่ไว้เป็นตะเข็บตลอดแนว

 

ส่วนกรณีที่ดินของโรงแรมเป็นหาดทรายนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ และ จากการตรวจสอบพบว่าทางโรงแรมเองก็มีการนำหลักเขตมาปักไว้เพื่อบอกแนวเขตที่ดินของตัวเอง ซึ่งก่อนที่จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็เคยมีการตรวจสอบกันมาแล้วหลายครั้ง

นายยงยุทธ ยังได้กล่าวต่อไปว่า กรณีที่มองว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่น้ำทะเลท่วมถึง จะต้องตกเป็นของหลวงหรือไม่นั้น คงจะต้องมีดูหลักฐานโฉนดของทางเจ้าของที่ดินว่ามีการครอบครองเมื่อไหร่ ก่อนครอบครองสภาพพื้นที่เป็นอย่างไร จากการตรวจสอบพบว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีการออกเอกสารสิทธิ์มานานแล้ว แต่น้ำทะเลกันเซาะเข้ามาเรื่อยจนเป็นสภาพตามที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันเจ้าของยังรักษาสิทธิ์อยู่

 

สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวออกเอกสารสิทธิ์โดยใช้ ส.ค. 1 เลขที่ 17 หมู่ 1 ต.เชิงทะเล เนื้อที่ 17 ไร่กว่า และ นำมาออกเป็น นส.3ก.เลขที่ 1362 เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2521 โดยใช้วิธีเดินสำรวจ หลังจากนั้นขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 42109 เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2552

นายยงยุทธ ยังได้กล่าวต่อไปถึงที่ดินนสล.ที่กันไว้เป็นแนวตะเข็บเพื่อป้องกันการบุกรุก ว่า จากการตรวจสอบยืนยันได้ว่าปัจจุบันที่หลวงยังอยู่ ซึ่งนักท่องเที่ยวก็สามารถที่จะมาใช้พื้นที่ที่เป็นที่หลวงซึ่งอยู่นอกเขตที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ได้ จากการตรวจสอบตามสารบบที่ดิน ยืนยันว่าที่หลวงยังมีอยู่ชัดเจน ซึ่งที่ดินที่ตามโฉนดไม่ได้ติดทะเลเพราะมีที่ดิน นสล.กั้นอยู่ตลอดแนวชายหาด