ทร.ภ.3 จับมือรัฐ/เอกชน ยืนยันความพร้อมช่วยประชนประสบภัยธรรมชาติ

โพสเมื่อ : Tuesday, June 6th, 2017 : 2.26 pm

 

ทัพเรือภาคที่ 3 เอกชน หน่วยงานรัฐ จับมือ ยืนยันความพร้อมในการช่วยเหลือปชช.ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติทุกรูปแบบ

เมื่อเวลา 9.00 น.วันนี้ (6 มิ.ย.) พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ และ เสนาธิการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพเรือ เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ เดินทางมาตรวจเยี่ยม และ ตรวจสอบการเตรียมความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 3 รวมทั้งการบูรณาการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ในการแก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติขึ้น โดยมีพลเรือโทสุรพล คุปตะพันธ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 และผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 3 นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 18 เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งแต่ละหน่วยงานได้นำเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักร เรือ รถ ที่ใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยมาร่วมแสดงด้วย

ทั้งนี้เนื่องจากในขณะนี้ในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามัน เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะมีสภาพคลื่นลมที่ค่อนข้างแรง มีฝนตก ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าวอาจจะทำให้ส่งผลต่อการบรรเทาสามารณภัย เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม เป็นต้น รวมทั้งอุบัติภัยทางทะเล เช่น เรือล่ม เรือจม เป็นต้น ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยการปฏิบัติงานของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 3 นั้น พลเรือโท สุรพล คุปตะพันธ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 และผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 3 ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆ ได้มีการเตรียมความพร้อมและสามารถปฏิบัติการได้ทันทีเมื่อมีเหตุการณ์ โดยมีศูนย์รับแจ้งเหตุตลอด 24ชั่วโมง สำหรับการเดินทางมาตรวจเยี่ยมของเสนาธิการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ในครั้งนี้ จะเยี่ยมชมการเตรียมความพร้อมในการบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา รวมทั้งการเตรียมความพร้อมหากเกิดอุบัติภัยทางทะเล โดยจะทำการสาธิตการฝึกซ้อมบริเวณชายหาดบ้านน้ำเค็ม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา รวมทั้งรองรับกรณีการเกิดคลื่นยักษ์สินามิด้วย

พลเรือเอก ลือชัย กล่าวว่า ปัญหาเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติ ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ จะให้หน่วยงานเอกชน หรือพลเรือดำเนินการเพียงลำพังได้ ทหารซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ ตามคำขวัญที่ว่า ทหารเรือจะไม่ทอดทิ้งประชาชน และจะต้องปฎิบัติภารกิจอย่างเข้มแข็ง ไม่ว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะเกิดจากอะไร ทั้งมรสุม น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน ภัยแล้ง รวมถุงภัยคุกคามอย่างสึนามิซึ่งเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยไม่บอกล่วงหน้า ทุกหน่วยจึงต้องเตรียมความอยู่เสมอในการรับมือกับภัยพิบัติ

พลเรือเอก ลือชัย กล่าวต่อไปว่า การเดินทางมาที่ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 3 ในครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 3 ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ 6 จังหวัดอันดามัน ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง และ จ.สตูล ซึ่งจะต้องมีความพร้อมทั้งกำลังคน และเครื่องมือ อุปกรณ์ในการช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ

อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบ พบว่าในส่วนของทัพเรือภาคที่ 3 มีความพร้อม ซึ่งนอกจากในส่วนของทหารเรือจะมีความพร้อมแล้ว ในการบูรณาการการช่วยเหลือร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานของรัฐพบว่ามีศักยภาพมาก ซึ่งสมารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆได้ ซึ่งในการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะร่วมกันทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน หากเกิดภัยพิบัติขึ้น ในส่วนของทหารเรามีความพร้อมก็สามารถเข้าพื้นที่ได้ก่อน หลังจากนั้นหน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานรัฐก็สามารถเข้าตามไป และทางทหารก็จะส่งมอบพื้นที่ให้ เนื่องจากหน่วยงานเอกชน หรือหน่วยงานรัฐบางหน่วยงาน มีศักยภาพและความพร้อมมากกว่า ซึ่งการช่วยเหลือประชาชนจะมาเกี่ยวกันไม่ได้ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้มากที่สุด

 

พลเรือเอก ลือชัย กล่าวต่อไปว่า เรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์ ในส่วนของทหารนั้นต้องยอมรับว่าเรามียุทธโทปกรณ์ที่เกี่ยวกับการดูแลปกป้องประเทศด้านความมั่นคงเป็นหลัก แต่เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นกับประชาชน ก็นำยุทธโทปกรณ์ที่มีอยู่มาปรับใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับการช่วยเหลือประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยืนยันว่าถึงเวลานี้ทัพเรือภาคที่ 3 มีความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนของทัพเรือและหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทุกหน่วยพร้อมที่จะเผชิญกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ทหารเรือไม่ทำ คือการฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชน ด้วยการขอจัดซื้อยุทธโทปกรณ์ใหม่เพื่อนำมาใช้สำหรับการช่วยเหลือประชาชน แต่จะนำยุทธโทปกรณ์ที่มีอยู่มาปรับใช้ให้เกิดความเหมาะสม ให้สมกับคำขวัญที่ว่า “ทหารเรือไม่ทอดทิ้งประชาชน”