คาดเงินสะพันกว่า 2 พันล้านบาท งานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต

โพสเมื่อ : Friday, October 4th, 2019 : 5.16 pm

รายได้สะพัดกว่า 2 พันล้านบาท งานประเพณีถือศีลกินผักภูเก็ต ขณะที่ท่องเที่ยวภูเก็ตคึกคัก ยอดพักเฉลี่ย 60 -70 % ขณะที่กลุ่มหลักยังเป็นคนไทย และ เอเชีย แต่ถ้ารวมรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งจังหวัดคาดมีกว่า 1 หมื่นล้าน เพราะตรงช่วงวันชาติจีนส่งผลคนจีนเดินทางมาเพิ่มขึ้น

ประเพณีถือศีลกินผัก ถือเป็นประเพณีที่สร้างชื่อเสียง และ เป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเชื่อกันว่าภูเก็ตจังหวัดแรกๆในภาคใต้ ที่จัดให้มีประเพณีกินผักขึ้นซึ่งมีการสืบทอดกันมายาวนานนับร้อยปี โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนเชื้อสายจีน จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ และ มาเลเซีย จำนวนไม่น้อยที่เดินทางเข้ามาเที่ยวชมงานประเพณีถือศีลกินผักที่ภูเก็ต หรือ แม้แต่คนไทยเองก็พบว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ได้เดินทางไปเข้าร่วมพิธี และ ถือโอกาสท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ที่มีการจัดงานในช่วงเทศกาลกินผักกันอย่างคึกคักยิ่งใหญ่ จนก่อให้เกิดเม็ดเงินรายได้หมุนเวียนเป็นจานวนไม่น้อยแก่ธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต

สาหรับในปีนี้งานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ตจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 7 ตุลาคม 2562 นางกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า ในช่วงการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต ปีนี้ตรงกับช่วงวันชาติจีนซึ่งเป็นวันหยุดยาวโกลเด้นวีค (ของนักท่องเที่ยวชาวจีน) นับว่าเป็นช่วงที่โชคดีของการท่องเที่ยวไทย เพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจีนออกเดินทางจำนวนมาก

โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ทำการประชาสัมพันธ์ประเพณีถือศีลกินผักเป็นประจำทุกๆ ปี ในช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่ โดยเฉพาะในปี 2562 นี้ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวในประเทศ และต่างประเทศมากพอสมควร อย่างไรก็ตามจากการสอบถามอัตราการเข้าพักจากโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต และ โรงแรมในพื้นที่เขตเมือง และ พื้นที่ใกล้ๆ กับศาลเจ้าต่างๆ จนถึงขณะนี้มีอัตราการจองห้องพักเข้ามาแล้วประมาณ 60.29 % ของจำนวนโรงแรมทั้งหมดในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีจำนวนมากขึ้น

ซึ่งเชื่อว่าในวันที่ใกล้ๆ กับประเพณีถือศีลกินผัก น่าจะมียอดจองห้องพักเพิ่มมากขึ้น เพราะในปัจจุบันนี้พฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะตัดสินใจในนาทีสุดท้าย(Last Minute) เสียส่วนใหญ่ ทำให้การจองห้องพักมีเข้ามามาจ้า ทั้งนี้ กิจกรรมในส่วนของขบวนแห่พระ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์สำคัญของประเพณีถือศีลกินผัก เป็นกิจกรรมที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสประสบการณ์จริงของขบวนแห่ ก็คาดว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามาสัมผัสและร่วมขบวนแห่พระค่อนข้างมาก ซึ่งนอกจากจะได้ร่วมชมขบวนแห่พระแล้ว สิ่งที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสคือการรับประทานอาหารเจที่มีหลากหลายเมนูหลากหลายร้านให้ได้ลิ้มลอง

นางกนกกิตติกา กล่าวต่อไปว่า สาหรับคาดการณ์รายได้ด้านการท่องเที่ยวในช่วง 9 วันของการจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ร่วมทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวปกติทั้งจังหวัด คิดว่าจะมีเงินสะพัดมูลค่าประมาณ 15,359.45 ล้านบาท แต่ถ้ารายได้ที่เกิดจากงานประเพณีถือศีลกินผักอย่างเดียวคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ยังมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่จากการที่มีมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ของรัฐบาลเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยสินค้าทั่วไป รวมถึงสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งในปีนี้ประเพณีถือศีลกินผักของเราตรงกับช่วงช่วงวันหยุดยาวโกลเด้นวีค (ของนักท่องเที่ยวชาวจีน) ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนวางแผนเดินทางท่องเที่ยวมายังจังหวัดภูเก็ต โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามีทั้งคนไทย จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย ซึ่งเชื่อว่ารายได้ที่เกิดขึ้นจะกระจายสู่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง รวมทั้งในส่วนของผู้ประกอบการท้องถิ่นด้วยค่าใช้จ่ายหลักๆ นอกเหนือจากค่าที่พักแล้ว ก็จะเป็นในเรื่องของอาหารการกิน ทั้งอาหารเจบริเวณหน้าศาลเจ้า และมีในส่วนของร้านค้าอื่นๆ โรงแรมในบริเวณใกล้เคียงกับศาลเจ้า และโรงแรมต่างๆ ที่ตระเตรียมอาหารเจสาหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าพักถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

ขณะที่ นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า ในช่วงงานประเพณีถือศีลกินผักที่ภูเก็ตในช่วงนี้ถือว่ายังไม่คึกคักโดยขณะนี้มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ประมาณ 60 – 70 % สำหรับโรงแรมในตัวเมือง เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีโรงแรมในตัวเมืองเกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้นักท่องเที่ยวกระจายไปพักในโรงแรมใหญ่บ้างเล็กบ้างทำให้ตัวเลขอัตราการเข้าพักน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วง 5 วัน หรือ 3 สุดท้าย ของงานประเพณีน่าจะมีคนเดินทางเข้ามามากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันพบว่าการจองห้องพักของนักท่องเที่ยวจะจองแบบนาทีสุดท้ายตัดสินใจมาแล้วจึงจะจ้องไม่มีการจ้องล่วงหน้านานๆแบบเมื่อก่อน

แต่อย่างไรก็ตามปกติช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต โรงแรมตามชายหาดเริ่มมียอดจองเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่ายอดจองยังน้อยกว่าประมาณ 20 % ซึ่งสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาน้อยลงเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบไปตัวทำให้คนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และเลือกเดินทางท่องเที่ยวในระยะสั้นแทน หรือท่องเที่ยวในประเทศตัวเองแทน

ส่วนปัจจัยภายในก็เกิดจากปัญหาเงินบาทแข็งตัว ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะเที่ยวที่ประเทศอื่นแทนเนื่องจากเงินบาทอ่อนตัวกว่า จึงคิดว่าถึงเวลาที่รัฐบาลควรจะหันมาส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวในประเทศมากขึ้น เพราะโดยภาพรวมตลาดคนไทยถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก คิดเป็น 40 % ของตลาดท่องเที่ยวทั้งประเทศถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก ถ้ารัฐบาลส่งเสริมและออกมาตรการกระตุ้นเพื่อให้คนไทยเที่ยวภายในประเทศมากขึ้นก็จะช่วยให้การท่องเที่ยวดีขึ้นอย่างแน่นอน